HoonSmart.com>>“IND” หุ้นรับเหมาฯ วิศวกรรม อนาคตไกล กำงานในมือกว่า 2.1 พันล้านบาท ดันปีนี้โตตามเป้า 20-25% ด้านราคาต่ำ-เทรดใกล้ Book Value
อุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างถือเป็นธุรกิจที่เติบโตควบคู่ไปพร้อมกับการพัฒนาประเทศ แม้ยังต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่การที่รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี และงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะโครงการลงทุนของสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน หรือโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ น่าจะสนับสนุนให้แนวโน้มของอุตสาหกรรมรับเหมาฯ ยังมีโอกาสฟื้นตัวได้มากขึ้นอย่างชัดเจน
บริษัท อินเด็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป (IND) ผู้ให้บริการงานด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมครอบคลุมงานออกแบบพร้อมก่อสร้าง,งานบริหารโครงการขนาดใหญ่และควบคุมงานก่อสร้างของภาครัฐ รวมถึงงานด้านวิศวกรรมที่ปรึกษาต่าง ๆ เป็น 1 ในบริษัทที่มีบทบาท เสริมสร้างรากฐานทางสังคม ด้วยการร่วมพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานด้านต่าง ๆ อาทิ
โครงข่ายถนน ระบบขนส่งสาธารณะ ระบบขนส่งทางราง การท่าอากาศยาน เป็นต้น และมีประสบการณ์ทำงานกว่า 300 โครงการ ซึ่งหากไม่มีศักยภาพจริง คงไม่สามารถยืนหนึ่งครองความเป็นเจ้ายุทธจักรมาได้อย่างต่อเนื่องถึง 39 ปี
นางพรลภัส ณ ลำพูน รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร IND เปิดเผยว่า บริษัทฯ คงมุ่งเน้นเข้าร่วมประมูลโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ รวมถึงขยายงานของภาคเอกชนให้มากขึ้น เพื่อสร้างฐานธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ให้แข็งแกร่งมากกว่าที่เป็นอยู่ ที่สำคัญช่วยต่อยอดและผลักดันรายได้ รวมถึงกำไรให้เติบโตได้อย่างมั่นคงต่อไปในอนาคต
นอกจากนี้บริษัทฯ มีโอกาสเข้าร่วมประมูลงานต่าง ๆ ตามแผนที่ได้วางไว้ ทำให้มีงานในมือเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ผลการดำเนินงานปี 2564 พลิกกลับมาเป็นบวกได้ บริษัทและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิเท่ากับ 14.26 ล้านบาท ส่วนรายได้รวม 473.74 ล้านบาท
ปัจจัยสนับสนุน ปี 2564 พลิกมีกำไรสุทธิจากงวด 9 เดือนขาดทุน เนื่องจาก Q4/2564 รับรู้รายได้จากงานในมือเข้ามาต่อเนื่อง รวมทั้งประสิทธิภาพควบคุมต้นทุนทำได้ดีมาก Q4/2564 มีกำไรสุทธิแตะ 14.26 ล้านบาท
สำหรับโครงการที่ท้าทายความสามารถของ IND คือ ปลายปี 2564 บริษัทลงนามสัญญาจ้างโครงการออกแบบและก่อสร้างระบบบริการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานสนามบินอู่ตะเภา ณ ท่าอากาศยานอู่ตะเภา กับ บริษัท โกลเบิลแอโร่แอสโซซิเอทส์ มูลค่าสัญญาประมาณ 2,110 ล้านบาท
ขณะที่ต้นปีที่ผ่านมา IND ลงนามสัญญากับกรมทางหลวง 4 โครงการ ประกอบด้วย โครงการแรกเป็น งานสัญญาจ้างวิศวกรที่ปรึกษา สำรวจและออกแบบทางหลวง 4 ช่องจราจร บนทางหลวงหมายเลข 116 ช่วง บ้านป่าสัก อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่-ตำบลท่าวังพร้าว อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน กับกรมทางหลวง ,โครงการที่ 2 ลงนามสัญญาจ้างวิศวกรที่ปรึกษา สำรวจและออกแบบทางหลวง 4 ช่องจราจร บนทางหลวงหมายเลข 106 ช่วง อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง-อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน กับกรมทางหลวง
รวมทั้งได้งานสัญญาจ้างวิศวกรที่ปรึกษา สำรวจและออกแบบทางหลวง 4 ช่องจราจร ทางหลวงแนวใหม่เชื่อมโยงทางหลวงหมายเลข 2-ทางหลวงหมายเลข 222 อุดรธานี-บึงกาฬ และสัญญาจ้างวิศวกรที่ปรึกษา สำรวจและออกแบบ และบูรณะสะพาน บนทางหลวงหมายเลข 4 ในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี สมุทรสงคราม และประจวบคีรีขันธ์ และชุมพร รวม 4 สัญญา คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 72.52 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ล่าสุด บริษัทฯ ได้ลงนามกับการประปานครหลวง(กปน.) ในสัญญาจ้างควบคุมงานก่อสร้างขยายกำลังการผลิตน้ำ ที่โรงงานผลิตน้ำมหาสวัสดิ์ ขนาด 800,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน พร้อมงานที่เกี่ยวข้อง มูลค่าสัญญาประมาณ 48,100,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ส่งผลให้งานในมือ ณ ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 2,154 ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) และยังมีงานต่าง ๆ ที่จะเข้าร่วมประมูลประมาณ 20 โครงการ มูลค่าราว 600 ล้านบาท คาดมีโอกาสได้งานสูงถึง 80% ทำให้มั่นใจรายได้ปีนี้เติบโตตามเป้าไม่ต่ำกว่า 20-25%
“บริษัทฯ มั่นใจว่าภาพรวมผลการดำเนินงานในอนาคตจะยังคงสดใส เนื่องจากแนวโน้มอุตสาหกรรมการก่อสร้าง ยังสามารถเติบโตในทิศทางที่ดี เนื่องจากการผลักดันของภาครัฐที่เป็นไปตามงบประมาณที่ได้จัดสรรไว้ โดยผ่านโครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆ ทั้งโครงการขยายเส้นทางรถไฟฟ้า รถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง โครงการขยายสนามบินต่างๆ ทำให้เห็นสัญญาณบวกที่จะเกิดขึ้นกับบริษัทฯ ที่มีโอกาสในการเข้าร่วมประมูลงานใหม่ๆ ต่อยอดงานในมือให้เพิ่มมากขึ้น” นางพรลภัส กล่าว
นอกจากนี้ หากพิจารณาราคาหุ้น IND ซื้อขายในปัจจุบันอยู่ที่ 1.89 บาทต่อหุ้น (ณ วันที่ 9 มีนาคม 2565) และเป็นราคาที่อยู่ใกล้เคียงกับมูลค่าหุ้นทางบัญชีต่อหุ้น (Book Value) ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 1.08 บาทต่อหุ้น
สะท้อนได้ว่า ราคาหุ้นในปัจจุบัน ยังมีความน่าสนใจ และมีอัพไซด์ให้ได้เห็น ขณะที่เมื่อนำมาเทียบค่าเฉลี่ยของอัตราส่วนราคาปิดต่อมูลค่าหุ้นทางบัญชี (P/BV) ของหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ซึ่งอยู่ที่ระดับ 4.14 เท่า แต่หุ้น IND อยู่ที่ระดับ 1.75 เท่า (ณ วันที่ 9 มีนาคม 2565) ก็ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
ดังนั้น เมื่อบริษัทฯ มีงานในมือที่ตุนไว้แล้ว จะทยอยรับรู้รายได้และกำไรเพิ่มขึ้นในระยะยาว ก็น่าจะช่วยให้มูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นได้อีกเช่นกัน