HoonSmart.com>>MILL อวดงบปี 64 กำไรกระฉูด 325% EBITDA ทะลุ 1.1 พันล้าน-รายได้ รวมกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท “ประวิทย์ หอรุ่งเรือง” ชี้ผลงานแกร่ง จากภาพรวมอุตสาหกรรมเหล็กและการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย-ต้นทุนการเงินที่ลดลง มั่นใจปี 2565 กำไรและรายได้เติบโตต่อเนื่อง

นายประวิทย์ หอรุ่งเรือง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิลล์คอน สตีล (MILL) เปิดเผยว่า ผลดำเนินงานปี 2564 มีกำไรสุทธิ 379 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 325% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 168 ล้านบาท และมี EBITDA อยู่ที่ 1,131 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 20 % เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มี EBITDA จำนวน 940 ล้านบาท
ขณะที่มีรายได้รวม 15,812 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,171 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 36% เทียบงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 11,641 ล้านบาท
ทั้งนี้ กำไรสุทธิข้างต้น ไม่ได้รวมบริษัท โคเบลโก้ มิลล์คอน สตีล (KMS) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุน 50 % กับบริษัท โกเบ สตีล ลิมิเต็ด ดำเนินการผลิตและจำหน่ายเหล็กลวดเกรดทั่วไปและเหล็กลวดเกรดพิเศษ สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ โดยปี 2564 KMS มีกำไรสุทธิ 369 ล้านบาท หากรวมเข้ามา ส่งผลให้กำไรสุทธิ ปี 64 ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 564 ล้านบาท
นายประวิทย์ กล่าวอีกว่า ปี 2564 บริษัท ฯ มีรายได้จากการขายและบริการเพิ่มขึ้นถึง 36% เนื่องจากราคาขายเฉลี่ย ปรับเพิ่มสูงขึ้นตามราคาเหล็กในตลาดโลก รวมถึงราคาวัตถุดิบที่ปรับเพิ่ม ทำให้ต้นทุนการขายและบริการอยู่ที่ 14,635 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 891 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14 % และมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 6%
ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง 74 ล้านบาท หรือลดลง 15 % เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากการลดลงของค่าขนส่งและการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายของบริษัท และต้นทุนทางการเงินลดลง 9 % เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากการชำระคืนเงินกู้ยืมระยะยาวของบริษัท
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2565 บริษัทคาดว่าจะมีกำไรสุทธิต่อเนื่องจากปี 2564 เนื่องจากประเมินว่าภาพรวมเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐหลังจากที่สถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ประกอบกับบริษัทมีความพร้อมในการแข่งขัน
นอกจากนี้ แนวโน้มราคาเหล็กในตลาดโลกมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศจีน ที่มีการจำกัดการส่งออกและลดกำลังการผลิต และยกเลิกนโยบายคืนภาษีส่งออก (Tax rebate) ส่งผลให้ราคาเหล็กในตลาดโลกยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงเพิ่มขึ้น
นายประวิทย์ กล่าวถึง ภาพรวมอุตสาหกรรมเหล็กในปี 2564 จากการที่อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศจีนมีการจำกัดการส่งออก และลดกำลังการผลิต ส่งผลให้ความต้องการบริโภคเหล็กและราคาเหล็กในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมทั้งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มผ่อนคลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นอันเนื่องมาจากประชาชนส่วนใหญ่ได้รับการฉีดวัคซีน ทำให้ภาคการผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆฟื้นตัวดีขึ้น
จากข้อมูลของสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย การบริโภคเหล็กสำเร็จรูปของไทยในปี 2564 อยู่ที่ 18.74 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 13.9 % จากปีก่อน โดยการบริโภคเหล็กทรงยาว อยู่ที่ 6.47 ล้านตัน แบ่งเป็น การบริโภคผลิตภัณฑ์เหล็กเส้นและเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ (Bar & HR section) อยู่ที่ 3.76 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 1.3 % และผลิตภัณฑ์เหล็กลวด (Wire rod) อยู่ที่ 2.34 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 4.7% จากปีก่อนหน้า ขณะที่การบริโภคเหล็กทรงแบนอยู่ที่ 12.27 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 20.7 % เมื่อเทียบกับปี 2563
