MINT เฮ! กำไรครั้งแรกช่วงโควิด โกย 1,657 ลบ.Q4/64 ทุกธุรกิจโต

HoonSmart.com>>”ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล”มาตามนัด ประกาศกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาส 4/64  นับเป็นครั้งแรกในช่วงเกิดโควิด แถมทำได้ดีเกินคาดถึง 1,657 ล้านบาท รวมทั้งปี 64 ขาดทุนเพียง 13,167 ล้านบาท ขณะที่บล.เอเซียพลัสพลัสคาดขาดทุน 14,000 ล้านบาท ส่วนปี65 พลิกฟื้นมีกำไรสุทธิ 1,400 ล้านบาท ปี66 กระโดดขึ้น 4,555 ล้านบาท  ชี้ธุรกิจโรงแรมยุโรปเทิร์นอะราวด์  แนะซื้อ เป้าราคา 36 บาท 

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) เปิดเผยผลการดำเนินงานประจำปี 2564 ขาดทุนสุทธิ 13,166.51 ล้านบาท เท่ากับ -2.83 บาทต่อหุ้น ดีขึ้นจากปี 2563 ที่มีขาดทุนสุทธิ 21,407.34 ล้านบาท หรือ -4.71 บาทต่อหุ้น

นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล แจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่า ในไตรมาส 4/2564 บริษัทมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีและค่าเสื่อมจาการดำเนินงาน (EBITDA) จำนวน 8,670 ล้านบาท พลิกฟื้นจาก EBITDA ที่เป็นลบจำนวน 51 ล้านบาท ทำให้ผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงานพลิกฟื้นกลับมาเป็นบวกเป็นครั้งแรกตั้งแต่มีการระบาดของโควิด-19 อยู่ที่จำนวน 1,657 ล้านบาท จากผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงานจำนวน 4,270 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการดำเนินงาน 26,632 ล้านบาท เติบโตอย่างมีนัยสำคัญถึง 89% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้ไมเนอร์ฟู้ดยังคงสร้างผลกำไรอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 6 ในขณะที่กำไรสุทธิของไมเนอร์โฮเทลส์และไมเนอร์ไลฟ์ สไตล์พลิกฟื้นกลับมาเป็นบวก

หากรวมรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว บริษัทมีรายได้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญในอัตรา 91% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่จำนวน 26,958 ล้านบาท ขณะที่ EBITDA พลิกฟื้นกลับมาเป็นบวกอยู่ที่จำนวน 3,345 ล้านบาท เทียบกับที่เป็นลบจำนวน 1,413 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิยังเป็นลบอยู่จำนวน 1,557 ล้านบาท ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญจากผลขาดทุนสุทธิ 5,591 ล้านบาท ในไตรมาส 4/2563

สำหรับปี 2564 บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานจำนวน 74,463 ล้านบาท เติบโต 28% สาเหตุหลักมาจากการฟื้นตัวของธุรกิจ ยอดขายที่เพิ่มขึ้น รวมถึงมาตรการการลดค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ EBITDA จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นในอัตรามากกว่า 6 เท่า เร็วกว่ารายได้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ผลขาดทุนจากการดำเนินงานลดลงอยู่ที่จำนวน 9,314 ล้านบาท เมื่อเทียบกับจำนวน 19,389 ล้านบาทในปี 2563

ในปีที่ผ่านมา บริษัทและบริษัทย่อยมีกระแสเงินสดจากกิจกรรมการดำเนินงานเป็นบวกจำนวน 13,026 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 15,525 ล้านบาท จากปีก่อน โดยมีสาเหตุบางส่วนมาจากผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นและการบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียน

บริษัทมีอัตรากำไรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็น 31.8% จาก 15.5%ในปี 2563 ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินงานที่ฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งของไมเนอร์ โฮเทลส์และ
ไมเนอร์ฟู้ด นอกจากนี้ผลขาดทุนสุทธิของบริษัทลดลงจากความสามารถในการทำกำไรที่สูงขึ้น และมาตรการการลดค่าใช้จ่ายที่เข้มงวดของทั้ง 3 หน่วยธุรกิจ อัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) เป็นลบ 12.0% ดีขึ้นจากเป็นลบ 23.9% ในปีก่อน

แนวโน้มในปี 2565 ของไมเนอร์โฮเทลส์จะดีขึ้นจากอุตสาหกรรมโรงแรมทั่วโลกคาดว่าจะกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง ประเทศมัลดีฟส์มีการฟื้นตัวจากวิกฤตโควิดได้เร็วกว่าประเทศอื่น ๆและจากความพยายามในการขาย ส่งผลให้โรงแรมในประเทศนี้มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนอยู่ในระดับที่สูงกว่าระดับก่อนการระบาดในปี 2562

ส่วนอนาคตของไมเนอร์ ฟู้ด การขับเคลื่อนรายได้ผ่านทุกช่องทางการขายและการเพิ่มความสามารถในการทำกำไรผ่านการ เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและการลดค่าใช้จ่ายที่เข้มงวดมากขึ้น แม้ว่าต้นทุนวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์จะสูงขึ้น แต่ไมเนอร์ฟู้ดได้ซื้อจำนวนมาก เก็บไว้ตั้งแต่ปี2564 ส่งผลให้สามารถชะลอผลกระทบของ
การขึ้นราคาต้นทุนได้จนถึงอย่างน้อยในไตรมาส 2/2565 นอกจากนี้ยังประสบความสำเร็จในการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหลายสัญญา รวมถึงการพิจารณากลยุทธ์การปรับขึ้นราคาเมนู คาดว่าความสามารถทำกำไรจะอยู่ในระดับก่อนการเกิดโควิดในปี 2562

บล.เอเซียพลัสคาดปี 2564 MINT จะขาดทุนสุทธิ 14,000 ล้านบาท และพลิกฟื้นมีกำไรสุทธิ 1,400 ล้านบาท ในปี 2565 และเพิ่มเป็น 4,555 ล้านบาทในปี 2566 คงคำแนะนำซื้อให้ราคาเป้าหมาย 36 บาท

ทั้งนี้ NH Hotel รายงานกำไรกติที่ 45 ล้านยูโร (รวมเงินสนับสนุนจากภาครัฐ 40 ล้านยูโร) กลับมามีกำไรครั้งแรกตั้งแต่ปี 2562 ถือเป็นบวกต่อ MINT การปรับฐานจากความกังวลในอียู เป็นโอกาสสะสม หากสถานการณ์ รัสเซีย-ยูเครน ไม่รุนแรงขึ้น อาจเห็นการฟื้นตัวของราคาหุ้น จากการประเมินการฟื้นตัวของอียู และประเมินเป็นโรงแรมแรกที่เทิร์นอะราวด์เป็นปกติเร็วสุดของกลุ่มในปี 2565