HoonSmart.com>>ตื่นตระหนกรัสเซียถล่มยูเครน หุ้นโลกวิกฤต ตลาดรัสเซียลงเหวลึกกว่า 30% ยุโรปหายวับกว่า 3% ดาวโจนส์ล่วงหน้า -2.5% ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ทะลุ 100 ดอลลาร์ ทองคำในประเทศปรับราคาวันเดียว 17 ครั้ง ต่างชาติทิ้งทั้งสามตลาด หุ้น-บอนด์-อนุพันธ์ บาทค่าอ่อนปิด 32.51 บล.เอเซียพลัสมองเป็นโอกาส ซื้อแถว 1,650-1,630 รอขายฟันด์โฟลว์ หลายโบรกแนะ ‘ลดพอร์ต-ชะลอลงทุน’
24 ก.พ.2565 รัสเซียเปิดฉากโจมตียูเครน หุ้นโลกถูกทิ้งลงเหวลึก โดยเฉพาะหุ้นรัสเซียดิ่งแรงกว่า 30% รวมถึงตลาดหุ้นยุโรป อาทิ DAX ร่วงกว่า 4% ดาวโจนส์ล่วงหน้าทรุดกว่า 800 จุด หรือ 2.5% เอเชียนำโดยฮ่องกงรูดแรง 3.21% ส่วนไทย -1.99% หรือ33.73 จุด ปิดที่ 1,662.72 จุด จากนักลงทุนต่างชาติพลิกมาขาย 2,983.70 ล้านบาท สถาบันทิ้งต่อ 1,386.99 ล้านบาท สวนทางนักลงทุนไทยซื้อ 4,875.86 ล้านบาท นอกจากนี้ ต่างชาติได้ขายตราสารหนี้ 4,820 ล้านบาท และอนุพันธ์อีก 6,861 สัญญา ด้านค่าเงินบาทอ่อนปิดตลาดที่ 32.51 บาทต่อดอลลาร์ เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับค่าเงินเอเชีย
ขณะเดียวกันชาติตะวันตกคว่ำบาตรรัสเซีย กดดันราคาน้ำมันดิบพุ่งแรงกว่า 8% ตลาดเบรนท์ทะลุ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล รวมถึงราคาสินค้าเกษตร ราคาอาหาร ในฐานะผู้ผลิตและส่งออกรายใหญ่ของโลก ส่วนราคาทองคำก็ปรับตัวขึ้น เกือบแตะ 2,000 ดอลลาร์/ออนซ์ สมาคมค้าทองคำประกาศปรับราคาในประเทศถึง 17 ครั้ง รวมเพิ่มขึ้นบาทละ 1,100 บาท ทองคำแท่งรับซื้อ 29,900 บาท และขายออก 30,000 บาท
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล. เอเซียพลัส กล่าวในงานเสวนา “รัสเซีย-ยูเครน ส่อประทุ ผู้ลงทุนควรตั้งรับอย่างไร” จัดโดยสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ว่า นักลงทุนอย่าตื่นตระหนกสถานการณ์นี้มากจนเกินไป ควรมองเป็นโอกาสในการเลือกซื้อหุ้นในธีมเศรษฐกิจฟิ้น และคาดว่าเงินต่างประเทศยังคงไหลเข้ามาลงทุนในหุ้นไทย
” ระยะสั้นตลาดมีโอกาสปรับตัวลงบ้าง แต่ไม่ลงลึกมาก หากหลุดระดับ 1,675 จุด แนวรับต่อไป 1,650-1,630 จุด โดยคงเป้าหมายในปีนี้ ดัชนีฐานอยู่ที่ 1,810 จุด และดีที่สุด 1,860 จุด”
แนวโน้มตลาดยังไปได้ดีอยู่ ให้น้ำหนักกลุ่มแบงก์ ยังไงก็ต้องมีติดพอร์ต ราคาตรงนี้ ยังมีส่วนลดเทียบกับมูลค่าหุ้นทางบัญชี และสำรองที่มีมากพอแล้ว เศรษฐกิจฟื้นตัว แนะนำ KBANK,BBL หุ้นค้าปลีกก็น่าสนใจ ราคาต่ำกว่ามูลค่ามาหลายปี ชอบ CPALL,BJC,MAKRO กลุ่มวัสดุก่อสร้างที่ได้ประโยชน์จากรัฐทุ่มงบประมาณในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน แนะนำ SCC และยังมีรายได้จากปิโตรเคมีเกิน 50%
ส่วนธีมเปิดเมือง AOT เด่นที่สุด ตามด้วย M กลุ่มไอซีทีได้ดีจากการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมมาใช้เทคโนโลยีมากขึ้น เลือก DTAC และ ADVANC
นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. กสิกรไทย กล่าวว่า หุ้นลงแรงจากสถานการณ์ยูเครน ให้จุดรับใกล้เคียงกับมุมมองบล.เอเซียพลัส ปัจจัยกำหนดทิศทางตลาด คือ การประชุมของเฟด สถานการณ์โควิด และสถานการณ์รัสเซีย ยูเครน
“ชอบหุ้นโรงพยาบาล เป็นหลุมหลบภัยที่ดี ไม่ใช่ หุ้นโรงไฟฟ้า แนะนำ BH,BDMS ราคาหุ้นปรับตัวลงมามาก ผลงานไตรมาสที่ 4/2564 ออกมาดีมาก ทั้งๆที่เพิ่งเปิดให้ต่างชาติเข้ามารักษา ปีนี้จะเพิ่มโอกาสมากขึ้น ทั้งนี้ ราคาหุ้น BH ยังคงลดลง -18.21% BDMS ลดลง -3.3% ขณะที่โรงพยาบาลขนาดกลาง ปรับขึ้นมามากกว่า เช่น CHG +78.35% BCH +16.7% นอกจากนี้ยังชอบหุ้นรถไฟฟ้า BEM” นายสรพลกล่าว
นายสุโชติ ถิรวรรณรัตน์ ผู้จัดการฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ทางฝ่ายวิจัยได้แนะนำให้ขายล็อกกำไรไว้ตั้งแต่เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาแล้ว ช่วงนี้ตลาดเกิด Panic ให้ Wait & See รอดูกลุ่มนาโต้ และยูเอ็นจะมี Action อะไรออกมา เชื่อว่าเมื่อออกมาแล้วจะทำให้ตลาดรีบาวด์ได้ ตอนนี้จึงเป็นลักษณะฝุ่นตลบไปก่อน แต่เมื่อสถานการณ์เริ่มเรียบร้อยขึ้นก็จะมีแรงซื้อกลับเข้ามา
“ความขัดแย้งทุกครั้งที่เกิดขึ้น เมื่อเริ่มมีข่าว หุ้นจะปรับตัวลงก่อน แล้วก็จะรีบาวด์กลับขึ้นไปได้ รอบนี้ก็ต้องรอดู Action จากนาโต้ และยูเอ็น ในทางเทคนิคมอง 1,640-1,600 จุด คนที่ยังไม่ขายหุ้นก็ให้ลดพอร์ตบางส่วน แต่ไม่ถึงขั้นต้องล้างพอร์ต หากอยากจะเล่นเก็งกำไรก็เข้าหุ้นในกลุ่มน้ำมัน และ Defensive อย่างกลุ่มอาหารได้ เพราะทั้งสองกลุ่มนี้มักจะได้รับผลดีจากภาวะสงคราม”นายสุโชติ กล่าว
นายชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า เรื่องของสงครามเป็นอะไรที่ประเมินได้ลำบาก จริง ๆ ให้น้ำหนักเลวร้ายสุดไว้แค่ 10% ในการรุกยิงกัน ตอนนี้จึงแนะนำแค่ Wait & See รอดูสถานการณ์ต่อไปก่อน
สำหรับคนที่ถือหุ้นพื้นฐานดี และมีผลกำไรที่ดีก็ยังถือต่อไปได้ เพียงแต่อาจจะต้องมีเงินสำรองลงทุนอีกส่วน เพื่อใช้ในการซื้อถัวเฉลี่ย
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดเกิดการ Panic และไม่รู้ว่าจะมีการตอบโต้อะไรกันอย่างไรต่อไปหรือเปล่า ดังนั้นจึงแนะนำสำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้น้อยให้ลดพอร์ตลงทุน และชะลอการลงทุน ส่วนคนที่รับความเสี่ยงได้ก็รับไป แต่มองว่าดัชนีฯมีโอกาสปรับตัวลงมาแถว 1,640-1,620 จุด
อย่างไรก็ดี หากอยากจะลงทุนก็ควรจะหาหุ้นพื้นฐานดี หุ้นที่ให้ปันผลสูง หุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ที่ได้รับอานิสงส์บวกจากราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น รวมถึงกลุ่ม Domestic play การบริโภคภายในประเทศก็น่าสนใจ
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดเกิด Panic มองว่าควรจะชะลอการลงทุนในช่วงที่เหลือของสัปดาห์นี้ก่อน เพื่อรอดูสถานการณ์ว่าทางนาโต้ และประเทศมหาอำนาจจะมี Action อะไรออกมาหรือเปล่า
“ที่ผ่านมาพบว่าสงครามจะมาไวไปไว ถ้ามีคู่กรณีเดียว เพราะฉะนั้นคาดว่าจะใช้เวลา 1-2 เดือนก็จะ Bottom อย่างช้า 2 เดือนน่าจะกลับไปที่เดิม แต่ตลาดฯยังมีปัจจัยเงินเฟ้อของสหรัฐฯที่จะออกมาในวันพรุ่งนี้ มีนัยยะสำคัญต่อนโยบายการเงิน แนะนำให้ถือหุ้น 50% ของพอร์ต ซึ่งยังมองหุ้นไทยปลอดภัยสุด เชื่อว่าได้รับผลกระทบไม่มากจากภาวะสงครามครั้งนี้”นายณัฐพลกล่าว