ASW จ่ายปันผลพ่วงวอร์แรนต์ฟรี มั่นใจปีนี้ออลไทม์ไฮยอดขายทะลุ 1 หมื่นล.

HoonSmart.com>> “กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์” CEO “แอสเซทไวส์” มั่นใจแนวโน้มปี 65 ผลงานออลไทม์ไฮต่อเนื่อง วางเป้ายอดขายทะลุ 10,000 ล้านบาท รายได้กว่า 6,000 ล้านบาท ชูจุดเด่นหุ้น Growth Stock ตั้งเป้าก้าวขึ้นสู่ท็อปผู้พัฒนาอสังหาฯ ชั้นนำ ด้านผลงานปี 64 กวาดรายได้กว่า 5,034 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดใหม่ Gross Profit Margin สูงถึง 44% บริหารต้นทุนได้ดี หนุนกำไรโตแตะ 951 ล้านบาท บอร์ดอนุมัติจ่ายปันผล 0.40 บาท ขึ้น XD 10 มี.ค.นี้ พร้อมแจกวอร์แรนต์ผู้ถือหุ้น 285 ล้านหน่วย

นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ (ASW) บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” หรือ “We Build Happiness” เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในปี 2564 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 5,034 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% YoY และมีกำไรสุทธิ 951 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% YoY สร้างสถิติสูงสุดใหม่นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ขณะที่บริษัทยังคงความสามารถรักษาอัตราการทำกำไรขั้นต้น (GP) ได้ในระดับสูงต่อเนื่องที่ 44% และอัตรากำไรสุทธิ (NP) ที่ 19% สะท้อนการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้การบริหารงานของทีมงานมืออาชีพที่มีประสบการณ์ในวงการอสังหาฯ มาอย่างยาวนาน

พร้อมกันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 2/2565 ได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.40 บาท/หุ้น พร้อมแจกวอร์แรนต์ (ASW-W1) จำนวนไม่เกิน 285,373,707 หน่วยให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นในอัตราส่วน 3 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ โดยใบสำคัญแสดงสิทธิดังกล่าวมีอายุ 2 ปี นับจากวันที่ได้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ มีอัตราการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วยต่อหุ้นสามัญ 1 หุ้น และมีราคาการใช้สิทธิเท่ากับ 12.00 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) ที่มีสิทธิรับเงินปันผล และมีสิทธิได้รับการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิ ครั้งที่ 1 (ASW-W1) คือ วันที่ 11 มี.ค.2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลพร้อมรับการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิในวันที่ 5 พ.ค.2565

นายกรมเชษฐ์ กล่าวต่อว่า แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้คาดว่าจะกลับมาเติบโตได้ดี จากปัจจัยการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่คาดการณ์กันว่า GDP ในปีนี้มีแนวโน้มเติบโต 3 – 4% การเปิดประเทศ การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ การผ่อนปรนหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย (มาตรการ LTV หรือ Loan to Value) เป็นการชั่วคราวให้สามารถปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยรวมกับสินเชื่อที่เกี่ยวเนื่องได้ 100% ของมูลค่าหลักประกัน ตลอดจนการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนจาก 2% และลดค่าจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% สำหรับอสังหาริมทรัพย์ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท มีผลตั้งแต่ 18 มกราคม – 31 ธันวาคม 2565

บริษัทจึงพร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนงานที่วางไว้ เพื่อตอบรับกับโอกาสทางธุรกิจ และผลักดันผลการดำเนินงานให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 ตั้งเป้าหมายรายได้รวมที่ 6,000 ล้านบาท เติบโต 19% เพื่อผลักดันผลการดำเนินงานสู่การสร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายสู่การเป็นหนึ่งในท็อป 10 บริษัทผู้พัฒนาอสังหาฯ ชั้นนำของประเทศ

สำหรับเป้าหมายการดำเนินธุรกิจปี 2565 บริษัทตั้งเป้ายอดขายพรีเซลที่ 10,000 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ 6,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ 7 โครงการ มูลค่ารวม 12,400 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 7,550 ล้านบาท และโครงการแนวราบอีก 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 4,850 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนคอนโดมิเนียม 60% และบ้าน 40%

อีกทั้งในปีนี้บริษัทมีโครงการใหม่ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จเพื่อรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องถึง 7 โครงการ อาทิ โครงการ โมดิซ คอลเลคชั่น บางโพ มูลค่าโครงการ 1,230 ล้านบาท ,โครงการ เคฟ ศาลายา มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท ,โครงการ เคฟ เอวา มูลค่าโครงการกว่า 2,300 ล้านบาท ฯลฯ รวมทั้งการการลงทุนในทุกรูปแบบ การร่วมมือหรือ Synergy เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อต่อยอดโอกาสทางธุรกิจ และสนับสนุนต่อการสร้างรายได้และผลกำไรแก่บริษัทอย่างแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2564 บริษัทพัฒนาโครงการรวม 38 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 38,000 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและโครงการพร้อมอยู่จำนวน 29 โครงการ และโครงการที่กำลังเปิดขายและอยู่ระหว่างการพัฒนา จำนวน 9 โครงการโดยปัจจุบันบริษัทมียอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ารวมกว่า 7,338 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่อง