อินโดนีเซียชะลอลงทุนโครงการโรงไฟฟ้า และขึ้นภาษีนำเข้าสูงสุด 10% หลังค่าเงินร่วง
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า รัฐบาลอินโดนีเซียกำลังพิจารณาที่จะชะลอการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้ามูลค่า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ออกไป หลังจากที่ค่าเงินรูเปียะห์อ่อนค่าแรงเมื่อวันที่ 5 ก.ย. เพื่อไม่ให้ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลเพิ่มขึ้นและจะยิ่งมีผลต่อค่าเงิน
ทั้งนี้ รัฐบาลจะชะลอการลงทุนเกือบครึ่งหนึ่งของโครงการผลิตไฟฟ้าขนาด 35 กิกะวัตต์ เพื่อลดแรงกดดันการนำเข้า ซึ่งนาย อิกนาซิอุส โจนัน กล่าวว่า การเลื่อนการลงทุนจะลดการนำเข้าได้ราว 8-10 พันล้านดอลลาร์
โดยโครงการที่ยังไม่มีข้อสรุปทางการเงินจะชะลอออกไป นอกจากนี้ยังต้องการให้การลงทุนในโครงการพลังงานและธุรกิจแร่ใช้วัสดุในประเทศให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
อินโดนีเซียขาดดุลบัญชีเดินสะพัดราว 3% ของจีดีพีและมีนักลงทุนต่างชาติถือครองพันธบัตรถึง 40% ทำให้มีการเทขายเมื่อสหรัฐอเมริกาปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น
นอกจากนี้รัฐบาลมีแผนที่จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าเป็น 10% จากสินค้ามากกว่า 1,000 รายการ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ศรี มุลยานี อินทราวตีเปิดเผยว่า อัตราภาษีที่จะปรับเพิ่มขึ้นครอบคลุมสินค้านำเข้าตั้งแต่ เครื่องสำอาง เครื่องใช้ไฟฟ้า และรถยนต์นำเข้าบางประเภท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการลดการนำเข้าและพยุงค่าเงินรูเปียะห์
อัตราภาษีจะปรับขึ้นจาก 2.5-7.5% ในปัจจุบัน เป็น 7.5-10% ในสินค้า 1,147 รายการ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภค แต่ยังไม่กำหนดว่าอัตราภาษีใหม่จะมีผลเมื่อไร
รัฐบาลเปิดเผยว่า สินค้านำเข้ามีมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์ใน 8 เดือนแรกของปี ส่วนในปีก่อนมีมูลค่า 6.6 พันล้านดอลลาร์
