บล.ดีบีเอสฯ แจกกลยุทธ์-หุ้นเด็ดปีเสือ พอร์ตตปท.สะสมหุ้นจีน

HoonSmart.com>>บล.ดีบีเอสฯแจกคู่มือ”พิชิตตลาดปีเสือดุ” คาดเป้าหมายดัชนีหุ้น 1,800 จุด ทยอยซื้อสะสม แบงก์-ประกัน เมกะเทรนด์ ธีมเปิดเมืองเน้นพื้นฐานแกร่ง ยก AOT เป้า 75 บาท  CPN  66  บาท  AMATA 23  บาท  ปรับราคาน้ำมันดิบเบรนท์เป็น 75 เหรียญ หนุน PTTEP เป้า 160 บาท KCE-HANA  น่าสน อสังหาฯเด่น AP, LH, ORI,SPALI ปันผลสูง LALIN,SC,SENA  รับเหมาดี CK ,STEC เตือนอย่าเพิ่งรีบซื้อ ตัวกลาง-เล็ก เชียร์ RBF,FORTH,MEGA   

นาง อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวในหัวข้อ “พิชิตตลาดปีเสือดุ ชูกลยุทธ์ลงทุนหุ้นไทย-เทศ” ว่า ในปี 2565 บล.ดีบีเอสฯให้เป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์ 1,800 จุด อิงกำไรต่อหุ้น 92.79 บาท เติบโต 9% จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 85.40 บาท บน P/E 19.4 เท่า โดยมีกลยุทธ์ เน้นซื้อเมื่อราคาหุ้นเหนือ SMA10 ขายทำกำไรเมื่อเข้าโซนแพง (RSI สูงกว่า 80% ขึ้นไป )Stop Loss ถ้าหลุด SMA 10

“แนะให้เลือกลงทุนและทยอยซื้อสะสม ธีมเด่นเศรษฐกิจฟื้น ดอกเบี้ยขาขึ้น บวกต่อกลุ่มแบงก์ ประกัน และธีมเมกะเทรนด์ เช่น รถยนต์ EV แบตเตอรี่ โรงไฟฟ้า โรงพยาบาล อาหารเสริม ดิจิทัล ความปลอดภัยด้านไซเบอร์ Reopening ก็น่าสนใจ โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพ ประเทศไทยติดอันดับ 5 ของโลก และเป็นประเทศเดียวในเอเชียที่ติดท็อปไฟว์ 5 ของโลก”นางอาภาภรณ์กล่าว

นายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์  บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)  กล่าวว่า สถานการณ์ของโวรัสโอมิครอน ดีกว่าที่คิดไว้ ธปท. คาดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศมีโอกาสฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป ในปีนี้จะเข้ามาจำนวน 5-6 ล้านคน ปี 2566 เพิ่มเป็น 20 ล้านคน กลยุทธ์การลงทุนเน้นความปลอดภัย หากโอมิครอนกลับมาหนัก ควรเลือกหุ้นเปิดเมืองที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง รับแรงเสียดทานได้ดี

บล.ดีบีเอสฯแนะนำซื้อหุ้น AOT ราคาพื้นฐาน 75 บาท แนวโน้มธุรกิจสดใสตั้งแต่ไตรมาส 1/65 (ต.ค.-ธ.ค.64) เป็น -3.4 พันล้านบาท จากการเปิดประเทศมากขึ้น งบดุลมีความแข็งแกรง มีแรงกระตุ้นระยะสั้น และมีความคืบหน้าของโครงการต่าง Airport City Certijy Hub

นอกจากนั้นยังแนะนำซื้อ CPN ราคาพื้นฐานที่ 66 บาท คาดรายได้ค่าเช่าและบริการปี 2565 จะดีขึ้น จากการให้ส่วนลดค่าเช่าต่ำลง ประมาณกำไรสุทธิเติบโต 21.6% จากหดตัวประมาณ 20%ในปี 2564

หุ้น AMATA แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 23 บาท คิดเป็นส่วนลดถึง 30% คาดปีนี้ขายที่ดินเพิ่มขึ้นเป็น 1,100-1,200 ไร่ จากปีก่อนขายได้จำนวน 900 ไร่  ได้อานิสงส์ จากการลงทุนในพื้นที่ EEC  แถมยังมีรายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า ประมาณ 26-30 % มีการลงทุนพัฒนาที่ดินในลาวเริ่มต้นที่ 2.56 พันไร่ เป็นสมาร์ท แอนด์ อีโค ซิสเต็ม ที่นาเตย ติดกับสิบสองปันนา คาดจะเป็นผลดีในระยะยาว เพราะมีเส้นทางรถไฟความเร็วสูงลาว-จีนเชื่อมต่อ

PTTEP  ราคาพื้นฐาน 160 บาท จากราคาขายก๊าซเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน  เพิ่มคาดการณ์กำไรปี 2565 เป็น 15% สะท้อนปรับสมมติฐาน ราคาน้ำมันเบรนท์ ขึ้นเป็น 75 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล  จากเดิม 75  เหรียญสหรัฐ อุปทานเพิ่มขึ้นน้อยกว่าอุปสงค์ กลุ่มโอเปกพลัสคงนโยบายเพิ่มการผลิต 4 แสนบาร์เรล/วัน ในเดือนก.พ.2565 และคาดกำไรปตท.สผ.ในไตรมาส 4 สดใส

นอกจากนี้แนะนำซื้อ KCE ราคาพื้นฐาน 92 บาท และ HANA  เป้า  95  บาท เนื่องจากชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มีความสำคัญต่ออุปกรณ์ไฮเทค ทั้งรถยนต์ EV และโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นใหม่ ขณะเดียวกันบริษัทมีการพัฒนาสินค้าใหม่ ค่าเงินบาทอ่อน ถือเป็นสภาพแวดล้อมบวกต่อธุรกิจ

ส่วนกลุ่มสื่อสาร คาดว่าดีล TRUE-DTAC สำเร็จ ราคาหุ้นจะต้องวิ่งหาราคาเทนเดอร์ และบริษัทจำเป็นจะต้องผันตัวเองสู่ เทค คอมพานี

ในปีนี้ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะดีขึ้น ได้ประโยชน์จากมาตรการรัฐผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ทำให้ผู้ซื้อบ้านมีภาระผ่อนน้อยลง และขยายเวลาลดค่าธรรมเนียมการโอนและการจดจำนองไปอีก 1 ปี แนะนำซื้อ AP, LH, ORI,SPALI ส่วนปันผลสูง คือ LALIN,SC และ SENA

สำหรับกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง อย่าเพิ่งซื้อตอนประกาศงบไตรมาส 4 และปี 2564 รอซื้อตอนรัฐเปิดประมูลโครงการ แนะนำ CK ,STEC ส่วนเทรดดิ้งแนะ  NWR มี backlog  สูง  กลุ่มพาณิชย์ได้ดีจากนโยบายกระตุ้นการใช้จ่าย มีโครงการช็อปดีมีคืน กลุ่มมือถือไอที ได้ประโยชน์จากการทำงานที่บ้าน เช่น COM 7 กลุ่มจำหน่าย วัสดุก่อสร้าง แนะนำ HMPRO และ GLOBAL

ด้านหุ้นกลางและเล็ก ธีมกัญชง แนะนำซื้อ RBF  ราคาพื้นฐาน 22.70 บาท แนะ FORTH  24 บาท ทำ MRO กับ AOT อายุสัมปทาน 15 ปี MEGA ราคาพื้นฐาน 59 บาท คาดกำไรไตรมาส 4 ยังมีโมเมนตัมที่ดีอย่างต่อเนื่อง

ส่วนเงินเฟ้อสูง กลุ่ม PFPO และ REIT น่าสนใจ แนะนำ WHART คาดแจกปันผล 6% ต่อปี  ราคาพื้นฐาน 14.60 บาท แนวโน้มเติบโต  และ DIF ราคาพื้นฐาน 15.90 บาท ปันผลสูง 7.2%

ด้านการลงทุนในต่างประเทศ นาย ธนวัฒน์ ปัจฉิมกุล ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนต่างประเทศ บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า การลงทุนในต่างประเทศมองว่าหุ้นจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตราสารหนี้ โดยเฉพาะตลาดที่พัฒนาแล้ว น้ำหนักการลงทุนในช่วง 3 เดือนให้หุ้นสหรัฐ และยุโรป กลุ่มที่น่าสนใจ คือเทคโนโลยี เฮลท์แคร์ และการเงิน

ในช่วงนี้ ยังเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าซื้อหุ้นจีน ราคาหุ้นยังไม่ขึ้น สาเหตุที่ลดลง เพราะเศรษฐกิจจีนชะลอ อัตราการว่างงาน 5% แต่มองว่าจีนไม่น่าจะมีนโยบายเข้มข้นอีกแล้ว ซึ่งการหยุดคุมเข้ม เป็นผลดีต่อตลาดหุ้น ขณะเดียวกันหุ้นกู้ของจีนก็น่าสนใจ นักลงทุนกำลังหาจังหวะในการลงทุนแหล่งใหม่ แทนพันธบัตรสหรัฐ  มองว่าหุ้นกู้จีน น่าสนใจ ที่ผ่านมาให้พรีเมียมสูงเกินไป ตาม default Risk สูง ในช่วงอสังหาริมทรัพย์จีนมีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง

อย่างไรก็ตาม การจะเข้าลงทุน ต้องมีกลยุทธ์ คือ1. ดูพอร์ตก่อน ว่ามีหุ้นอะไร เพื่อไม่ให้น้ำหนักในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากเกินไป โดยบล.ดีบีเอสฯแนะนำหุ้นฟินเทค เพย์เมนต์ ทั้งบริษัทใหญ่และเล็ก หุ้นฟินเทคที่ผ่านมาราคาปรับตัวลงมามาก แต่เป็นหุ้นขนาดกลางและเล็ก ขนาดใหญ่ยังยืนได้

กลุ่มการแพทย์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญของตลาดหุ้นโลก มีสัดส่วนสูงประมาณ 11.4% แบ่งเป็น ยาประมาณ 39.2% อุปกรณ์ 18.4% ไบโอเทค 11.3% โดยกลุ่มยา มีความน่าสนใจ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้วิวัฒนาการก้าวหน้า ส่วนอุปกรณ์การแพทย์เป็นอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น จึงน่าสนใจลงทุน เพราะตลาดหุ้นไทยไม่มีหุ้นเหล่านี้ การลงทุน R&D ทุกประเทศมีการลงทุนเพิ่ม ในกลุ่ม เฮลท์แคร์ สิทธิบัตรยา จะให้ผูกขาดกับเจ้าขอสิทธิบัตรเป็นเวลา 20 ปี