3 กูรูส่องตลาดหุ้นปีเสือ 2565 “โควิด-เลือกตั้ง-เงินเฟ้อ”กดดัน

HoonSmart.com>> กูรู ส่องตลาดหุ้นไทยปีเสือ 2565  “หมอวิน-รัชต์ชยุตม์ จีระพรประภา” นักลงทุน-ปัจจัยพื้นฐาน มองตลาดหุ้น ไม่หวือหวา แนะถือเงินสดมากกว่า 50% รอช้อนช่วงราคาถูก “เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง”  นักเทคนิครายใหญ่  มองตลาดหุ้นยังดี แนะศึกษาข้อมูล-ใช้เทคนิคประกอบ “ปิง-ประกิต สิริวัฒนเกตุ” บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์  มองหุ้นไตรมาส 1 ดีสุดของปี แนะหุ้นเด่น TISCO-LH-ADVANC-INTUCH-BAM-CRC-HMPRO ส่วนหุ้นปลอดภัย ชอบ BGRIM-GPSC

ตลาดหุ้นปี 2564 ที่ผ่านมา แม้จะเผชิญกับการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอก 3 และ 4 ล็อกดาวน์ประเทศ แต่ตลาดหุ้นไทย กลับให้ผลตอบแทนที่ดี สวนทางกับเศรษฐกิจชะลอตัว

ดัชนี SET ณ วันที่ 30 ธ.ค. 2564  ปิด 1,657.62 จุด เพิ่มขึ้น 208.27 จุด หรือ 14.37% เทียบช่วงเดียวกับปี  2563  และ ดัชนี mai 30 ธ.ค. 2564 ปิด 582.13 จุด เพิ่มขึ้น 245.84 จุด หรือ 73.10%

จากสภาพคล่องล้นตลาด ดอกเบี้ยต่ำ นักลงทุนแห่เข้าลงทุนในตลาดหุ้นช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และปี 2565 เป็นอีกปีที่ทั่วโลก คงเผชิญกับการแพร่ระบาดไวรัสโควิดโอมิ ครอน ซึ่งการรับวัคซีนเข็ม 2-3-4 การล็อกดาวน์ประเทศคงเกิดขึ้นยาก , การขึ้นดอกเบี้ยและลดเม็ดเงินอัดฉีดสภาพคล่องหรือคิวอี เร็วขึ้นของสหรัฐ  และเชื่อว่าประเทศไทย จะมีการเลือกตั้งกลางปี 2565  เป็นปัจจัยที่มีผลกับตลาดหุ้นไทย

“หมอวิน-รัชต์ชยุตม์ จีระพรประภา”  นักลงทุนเทคนิค-หุ้นพื้นฐาน มองตลาดหุ้นปี 2565 อาจจะไม่หวือหวา เนื่องจากยังมีปัจจัยเสี่ยงการแพร่ระบาดโควิดโอมิครอน  ประเมินช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.2565 ดัชนีไม่สามารถผ่านบริเวณ 1,650 จุดได้  ตลาดมีโอกาสจะพักฐาน หรือเปลี่ยนเป็นขาลงได้

สำหรับปัจจัยบวก ที่ทำให้ดัชนีมีโอกาสผ่านบริเวณ 1,650 จุด คือ เม็ดเงินลงทุนของต่างประเทศและนักลงทุนสถาบัน จะไหลกลับเข้ามาซื้อสุทธิ

ส่วนทิศทางเงินบาท ยังคงอ่อนค่า จากการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ และธนาคารสหรัฐมีแนวโน้มขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อลดตัวเลขเงินเฟ้อ จะเป็นปัจจัยลบให้ Flow ไหลออกจากตลาดหุ้นไทย

อย่างไรก็ตาม “หมอวิน ” มองว่า ปี 2565 ประเทศไทยมีโอกาสเลือกตั้งสูง ทำให้การลงทุนของภาครัฐจะเป็นอีกส่วนสำคัญที่เข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ทั้งนี้ก็ยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามต่อ ว่าท้ายที่สุดแล้วการลงทุนจะมากน้อยแค่ไหน

ขณะที่ตลาดหุ้นต้นปี 2565 ยังมีความเสี่ยง การไถ่ถอน LTF  ของปี 2559 ยอดรวมประมาณ 60,000 ล้านบาท ด้วยต้นทุนเฉลี่ย SET บริเวณ 1,451 จุด สะท้อนว่า ปัจจุบันจะมีกำไรกว่า 10% มีความเสี่ยงจะเกิดการไถ่ถอนสูง และทำให้กองทุนต้องขายออกไม่ต่ำกว่า 30,000-40,000 ล้านบาท เพื่อรักษาสภาพคล่อง

“หมอวิน” แนะนำกลยุทธ์การจัดพอร์ตการลงทุน ถือเงินสดมากกว่า 50% เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุน, กองทุนทองคำ 10%  และถือหุ้น 30% ของพอร์ต โดยเลือกหุ้นตามเทรนของโลก อาทิ ESG ที่เกี่ยวข้องกับ EV ต่าง ๆ และเทรน Metaverse ของโลกอนาคต  มองว่ามีโอกาสได้ค่า Premium เพิ่มขึ้น รวมถึงลงทุนตาม Event Play ต่าง ๆ

“เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง”  นักเทคนิคเคิล มองตลาดหุ้นปี 2565  เป็นบวก แต่ปัจจัยกดดัน ได้แก่ การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ถึงแม้ความรุนแรงอาจจะไม่เท่าสายพันธุ์อื่น แต่อัตราการแพร่ระบาดค่อนข้างรวดเร็ว และการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารสหรัฐ เพื่อมาแก้ปัญหาเงินเฟ้อภายในประเทศ เป็นปัจจัยที่ต้องติดตามต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าตลาดจะรับรู้ไปแล้วก็ตาม ถ้าหากมีอะไรที่นอกเหนือกว่านั้น ตลาดจะ panic ช่วงสั้นได้ นอกจากนี้ ช่วงต้นปี อาจมีแรงขายจากการไถ่ถอน LTF ตามวัฏจักร เป็นปัจจัยกดดันเสริมเล็กน้อย

ตามสัญญาณเทคนิคเคิล ตลาดหุ้นไทยยังดี ประเมินแนวรับแรก  1,620 จุด หากปรับลงมาทดสอบจุดต่ำสุดเดิมที่ 1,570 จุด  เป็นเพียงการปรับฐานปกติ ตามข่าวที่เป็นปัจจัยลบ ซึ่งการลงทุนของนักลงทุน แนะนำให้ติดตามข่าวสารข้อมูลอยู่เสมอ ตามสถานการณ์ทั่วโลกอยู่ตลอดเวลา ประกอบกับใช้เทคนิคเคิลควบคู่ไปด้วย และควรมีวินัยในการลงทุน

ส่วนประเด็นการขึ้นภาษีขายหุ้น เสี่ยป๋อง กล่าวว่า มีผลกระทบต่อนักลงทุนที่เก็งกำไรระยะสั้นแน่นอน ยกตัวอย่างจากเดิม ที่มูลค่า 1 ล้านบาท เสียภาษี 200-300 บาท ต่อ 1 รายการ แต่เกณฑ์ใหม่ที่พิจารณา 1 ล้านบาท ต้องจ่ายภาษี 1,000 บาท ต้องติดตามดูต่อไป อาจไม่กระทบปริมาณการซื้อขายของตลาด เพราะท้ายที่สุดแล้ว เชื่อว่านักลงทุนยอมรับและเข้าใจภาครัฐ ที่ต้องการเม็ดเงินไปกระตุ้นเศรษฐกิจ

ด้าน “ปิง-ประกิต สิริวัฒนเกตุ” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน  เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ มองตลาดหุ้นปี 2565 ไตรมาส 1 คาดว่าจะเป็นช่วงที่ดีที่สุด เนื่องจากความคาดหวังการฟื้นตัวในไตรมาส 4/2564 ทั้งผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ที่คาดว่าจะดีขึ้นต่อเนื่องมาจนถึงไตรมาส 1 ถึงแม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน แต่ไม่จำกัดการเดินทาง รวมถึงการควบคุมของประเทศไทยมีประสิทธิภาพ สะท้อนประเทศไทยมีเสถียรภาพที่สุดในเอเชีย เป็นแหล่งพักเงินของนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งอาจจะเห็น Fund Flow เข้ามาในช่วงไตรมาสแรก

ส่วนไตรมาส 2 บรรยากาศการลงทุน จะค่อย ๆ ลดปัจจัยบวกลงมาจากไตรมาส 1  เนื่องจากทั่วโลกจะเข้าสู่ยุคดอกเบี้ยขาขึ้นทั้งเร็วและแรง ซึ่งตลาดจะเริ่มตอบรับข่าวก่อนการขึ้นดอกเบี้ย 2-3 เดือน หรือจะเริ่มเห็นตลาดตอบรับข่าวเชิงลบในช่วงไตรมาส 2 ประกอบกับความผันผวนจากเสถียรภาพทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง อาจจะส่งผลให้ตลาดผันผวนได้

นอกจากนี้ความเสี่ยงต่าง ๆ ที่ยังมีอยู่ อาทิ โควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ๆ ความตึงเครียดในเชิงภูมิภาค สภาพอากาศที่แปรปรวน อัตราเงินเฟ้อถ้ายังอยู่ในระดับสูง อาจจะส่งผลให้การใช้มาตรการใหม่ ๆ เกิดขึ้น รวมถึงนโยบายจากธนาคารกลางสหรัฐที่ตึงตัวมากขึ้น หรือ การลดขนาดงบดุล

การลงทุนประเมินแนวต้านแรกที่คาดว่าตลาดจะสามารถไปถึงได้บริเวณ 1,680 จุด และแนวต้านที่สำคัญ คือ 1,750-1,780 จุด โดยช่วง 3 เดือนแรก แนะนำหุ้นที่มีการจ่ายปันผลสูง ซึ่งทุก ๆ ปี จะเห็นการเคลื่อนไหวของหุ้นปันผลดีค่อนข้างโดดเด่น

แนะนำ TISCO, LH, ADVANC และ INTUCH รวมถึงหุ้นบางตัวได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น และได้ประโยชน์จากอุปโภคและบริโภคในประเทศฟื้นตัว จากภาพรวมเศรษฐกิจที่ดีขึ้น แนะนำ BAM, CRC และ HMPRO ส่วนหุ้นปลอดภัย กระจายความเสี่ยงพอร์ต แนะนำ BGRIM และ GPSC

อ่านข่าว

บลจ.มองหุ้นไทยปี 65 ผันผวนสูง ชี้เป้าดัชนี 1,750-1,850 จุด ส่องกลุ่มเด่นน่าลงทุน