ทริสเพิ่มเครดิต IVL เป็น AA-

ปีทองของ IVL ทริสเพิ่มเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ เป็น AA- จาก A+ และหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนเป็น “A” จาก”A-” สถานะธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้น กำไรโตจากมาร์จิ้นสูงของผลิตภัณฑ์ HVA มีหนี้รอครบกำหนดเพียบ

บริษัท ทริสเรทติ้ง เพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (IVL) เป็นระดับ “AA-” จากเดิมที่ระดับ “A+” พร้อมทั้งปรับเพิ่มอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนของบริษัทเป็นระดับ “A” จากเดิมที่ระดับ “A-”

อันดับเครดิตที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งเป็นผลจากกลยุทธ์ของบริษัทในการเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่มีมูลค่าสูง (High Value Added – HVA) ให้มากขึ้น รวมถึงการกระจายการลงทุนในแต่ละภูมิภาคจากการซื้อกิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังคงสะท้อนถึงการเป็นผู้ผลิตชั้นนำในธุรกิจห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์ของบริษัท ตลอดจนความได้เปรียบในการแข่งขันจากการมีระบบการผลิตที่ครบวงจร รวมถึงการมีฐานการผลิตและฐานลูกค้าที่กระจายตัวอยู่ทั่วโลก

ขณะเดียวกันในการพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความสามารถและประสบการณ์ของคณะผู้บริหารของบริษัท รวมทั้งการเข้าถึงเทคโนโลยีสำคัญในอุตสาหกรรมด้วย

อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความผันผวนของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี

IVL เป็นผู้นำในธุรกิจห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์ของโลก บริษัทเป็นผู้ผลิต Polyethylene Terephthalate (PET) รายใหญ่ที่สุดของโลก โดย ณ เดือนมิ.ย. 2561 บริษัทมีกำลังการผลิตรวม 12.0 ล้านตันต่อปี โดยประมาณ 40% ของกำลังการผลิตทั้งหมดเป็นกำลังการผลิตของกลุ่มธุรกิจ PET ในขณะที่ 45% เป็นกำลังการผลิตของกลุ่มธุรกิจวัตถุดิบ ส่วนที่เหลืออีก 15% เป็นกำลังการผลิตของกลุ่มธุรกิจไฟเบอร์ (Fiber) กลยุทธ์ของบริษัทคือการขยายกำลังการผลิตในธุรกิจห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์ตั้งแต่ธุรกิจวัตถุดิบ (ประกอบด้วย Purified Terphthalic Acid-PTA และ Monoethylene Glycol -MEG) ไปจนถึงผลิตภัณฑ์อนุพันธ์ (ได้แก่ PET รวมถึงเส้นใยและเส้นด้าย)

บริษัทมีการกระจายฐานการผลิตทั้งแบบสร้างขึ้นใหม่และการซื้อกิจการที่มีปัญหา ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันบริษัทมีฐานการผลิตอยู่ใน 29 ประเทศซึ่งครอบคลุม 4 ทวีป ได้แก่ ทวีปเอเชีย อเมริกาเหนือและใต้ ยุโรป และอาฟริกา ทั้งนี้ การลงทุนเมื่อเร็ว ๆ นี้ในโรงงานแยกก๊าซอีเทน (Ethane Cracker) รวมถึงโรงงานผลิต Paraxylene (PX) และ PTA แบบครบวงจรในประเทศสหรัฐอเมริกายังช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ห่วงโซ่ธุรกิจของบริษัท

การเป็นผู้ผลิตแบบครบวงจรทำให้บริษัทมีข้อได้เปรียบหลายประการ ซึ่งรวมถึงต้นทุนที่แข่งขันได้ การผลิตที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการมีฐานการผลิตในหลายภูมิภาค และการเข้าถึงตลาดที่กว้างขวางยิ่งขึ้น

” IVL ปรับโครงสร้างการลงทุนไปสู่ผลิตภัณฑ์ HVA ช่วยเพิ่มกำไร เพราะมีอัตรากำไรหรือมาร์จิ้นที่สูงกว่าสินค้าโภคภัณฑ์ บริษัทมีสัดส่วนของผลิตภัณฑ์ HVA เพิ่มขึ้นเป็น 20% ของการผลิตในปี 2560 จาก 16% ในปี 2555 ทำให้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ต่อตันผลิตจึงเพิ่มขึ้นเป็น 115 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในปี 2560 จาก 88 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในปี 2555 แม้ว่าผลิตภัณฑ์ HVA จะมีสัดส่วนเพียง 20% ของการผลิตรวมของบริษัท แต่ก็สามารถสร้างสัดส่วนได้ถึง 53% ของ EBITDA รวมของบริษัทในปี 2560 ทริสคาดว่า EBITDA จะอยู่ในช่วง 110-130 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในช่วงปี 2561-2564 “บริษัททริสเรทติ้งระบุ

การเพิ่มขึ้นของกำลังการผลิตรวมถึงการกระจายตัวทางภูมิศาสตร์ช่วยให้บริษัทมีกระแสเงินสดเพิ่มขึ้น ประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งได้รวมแผนค่าใช้จ่ายของบริษัทสำหรับการซ่อมบำรุง การปรับปรุงกระบวนการผลิต การขยายกำลังการผลิตของโรงงานที่มีอยู่ รวมถึงการซื้อกิจการใหม่ ๆ เข้าไว้ด้วย โดยคาดว่าค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เหล่านี้จะอยู่ที่ประมาณ 122,000 ล้านบาท ซึ่งจะเกิดขึ้นในระหว่างปี 2561-2564 นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังได้พิจารณาการลงทุนเพิ่มเติมของบริษัทอีกประมาณ 32,000 ล้านบาทสำหรับโอกาสในการซื้อกิจการใหม่ ๆ ด้วย

บริษัทมีเงินกู้ที่จะครบกำหนดชำระเป็นจำนวนมาก โดยในช่วงปีครึ่ง บริษัทมีหนี้ครบอายุ 5,100 ล้านบาท ในปี 2562 ประมาณ 17,800 ล้านบาท ในปี 2563 ประมาณ 13,500 ล้านบาท และในปี 2564 อีกประมาณ 16,000 ล้านบาท เมื่อพิจารณาถึงแผนการลงทุนและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานแล้ว บริษัทอาจจะต้องรีไฟแนนซ์เงินกู้บางส่วน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากการรีไฟแนนซ์นั้นคาดว่าจะสามารถจัดการได้จากการมีสถานะทางธุรกิจที่ดีรวมถึงความสามารถในการเข้าถึงตลาดเงิน ทริสเรทติ้งเชื่อว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทน่าจะอยู่ในระดับ 23-27% ได้ตลอดระยะเวลาที่ประมาณการ