HoonSmart.com>>บิ๊ก “สีเดลต้า” เผยราคาหุ้นเปิดซิลลิ่ง 200% ต้นเหตุจากนักลงทุนมองเห็นอนาคตสดใสของบริษัท สารพัดปัจจัยลบพลิกเป็นบวก หนุนรายได้ปีนี้โตเข้าเป้า 20-30% ปีหน้าไปได้สวย ชูนวัตกรรม ออกสินค้าใหม่ การเข้าตลาดหลักทรัพย์เสริมความเชื่อมั่นยิ่งขึ้น มีเงินลงทุน ความสามารถแข่งขันสูงขึ้น จากส่วนแบ่งตลาดท็อปไฟว์ 3-4% ของมูลค่า 2 หมื่นล้านบาท หวังไต่ขึ้นติด 1 ใน 3 ภายใน 5-10 ปี ส่วน”ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์” พร้อมเข้าเทรด SET วันนี้ (29 ต.ค.) คาดราคาวิ่งฉิ่ว นักลงทุนทุกระดับจองหุ้นล้น หวังเข้ามาเก็บในกระดาน ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง
หุ้นบริษัทสีเดลต้า (DPAINT) ร้อนแรงเกินคาด เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) วันแรก 28 ต.ค.2564 ราคาเปิดกระโดดชนซิลลิ่งที่ระดับ 22.50 บาท เพิ่มขึ้น 15 บาท หรือ 200% เทียบกับราคาขาย IPO ที่ 7.50 บาท ก่อนลงมาปิดที่ 12.90 บาท เพิ่มขึ้น 5.40 บาท คิดเป็น +72 % ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นถึง 6,662.77 ล้านบาท
นายรณฤทธิ์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทสีเดลต้า (DPAINT) กล่าวว่า สาเหตุที่ราคาหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นถึง 200% เกิดจากนักลงทุนมองเห็นอนาคตของบริษัท หลังจากเห็นผลงานที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีปัจจัยลบมากมาย แต่ก็ยังสามารถเติบโตได้ ปัจจุบันสปัจจัยเหล่านั้นกลับมาดีขึ้นทั้ง สถานการณ์โควิด-19 การผ่อนคลายล็อกดาวน์ ราคาวัตถุดิบ และการผ่อนคลายมาตรการ LTV ทำให้เศรษฐกิจค่อยๆฟื้นตัวและความต้องการใช้สีทาบ้านทาอาคารกลับมาฟื้นตัวเร็วขึ้น คาดว่าจะเห็นธุรกิจฟื้นตัวชัดเจนในไตรมาสที่ 4
ส่วนแนวโน้มในปี 2565 จะดียิ่งขึ้น หลังจากบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ ความน่าเชื่อถือจะมีมากขึ้น และบริษัทยังมีนวัตกรรม นำมาพัฒนาสีประเภทใหม่ๆ เช่น สีแฟชั่น รวมถึงสีคุณภาพดี ทาสีลองพื้นน้อยลง เพราะสามารถลดต้นทุน เพิ่มความคงทนแข็งแรงของบ้าน ซึึ่งจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ ตอบรับความต้องการของลูกค้าดีขึ้น เชื่อว่าบริษัทมีโอกาสการเติบโตมากกว่าตลาด ทำให้ส่วนแบ่งตลาดสูงขึ้น ปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 3-4 % ติด 1 ใน 5 (ท็อปไฟว์) ของมูลค่าตลาดสีทาบ้านทาอาคารประมาณ 2 หมื่นล้านบาท คาดว่าอีก 5-10 จะไต่ขึ้น 1 ใน 3 (ท็อปทรี)
นอกจากนี้บริษัทยังจะขยายตลาดมากขึ้น ปัจจุบันมีช่องทางการจัดจำหน่าย 3 ทาง คือแบบดั่งเดิม การค้าปลีกสมัยใหม่ และกลุ่มลูกค้าโครงการ บริษัทให้ความสำคัญกับการจัดพอร์ตสมดุล คือมีช่องทางการจำหน่ายแบบที่ 1 และ 2 สัดส่วนเท่ากัน 45% ก็จะขยายให้มีการครอบคลุมมากขึ้น เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าได้ง่าย พร้อมขยายกลุ่มลูกค้าโครงการที่มีสัดส่วน 10% ซึ่งมองหาโอกาสทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เชื่อว่าหลังโควิด-19 คลี่คลาย จะมีการพัฒนาโครงการใหม่ๆออกมามากขึ้น จึงเป็นโอกาสในการเพิ่มส่วนแบ่งตลาด
” ตลาดสีทาบ้านทาอาคารในประเทศไทย มีรายใหญ่ 5-6 บริษัท รายใหญ่ๆ มี 2 บริษัท ซึ่งอันดับหนึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดถึง 48% และอีก 3-4 บริษัทมาจากบริษัทข้ามชาติ เราจะไม่เข้าประกวดทุกเวที เลือกจะเข้าไปแข่งขันในเวทีที่มีโอกาส ด้วยประสบการณ์ และชื่อเสียงที่ทำมา 30-40 ปี รวมถึงบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ สร้างความน่าเชื่อถือ สำหรับแบรนด์ของคนไทย เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีขึ้น”นายรณฤทธิ์กล่าว
นายอรรถพล ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บัญชีและการเงิน DPAINT กล่าวว่า บริษัทมั่นใจว่ารายได้ของบริษัทในปี 2564 จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 20-30% จากปีก่อน หลังจากสถานการณ์ต่างๆดีขึ้น คาดว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2564 จะเห็นการฟื้นตัวกลับในระดับที่ดี
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุน IPO จะนำไปใช้เป็นเงินทุนในการปรับปรุงโรงงาน เครื่องจักร และระบบการผลิตที่โรงงานสุวินทวงศ์ ซึ่งเป็นโรงงานแห่งใหม่ ให้มีความทันสมัยและมีระบบอัตโนมัติ นอกจากเพิ่มกำลังการผลิตแล้วยังเพิ่มประสิทธิภาพลดต้นทุนด้วย รวมถึงการซื้อเครื่องผสมสี จำนวน 440 เครื่อง จากครึ่งปีนี้ มีจำนวน 379 เครื่อง เพื่อเพิ่มจำนวนร้านค้าปลีกและร้านค้าปลีกสมัยใหม่ รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนในการสร้างห้อง LAB และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน รวมถึงนำไปชำระคืนหนี้บางส่วน ทำให้อัตราส่วนหนี่สินต่อทุน (D/E) ลดลงมาเหลือ 0.5-0.8 เท่า จากครึ่งปีแรกอยู่ที่ 2.23 เท่า
บริษัทไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ (TFM )ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เศรษฐกิจ พร้อมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันที่ 29 ต.ค. นี้ หลังประสบความสำเร็จในการขายหุ้น IPO จำนวน 109.3 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 13.50 บาท นักลงทุนทั้งสถาบันไทย-ต่างประเทศ และนักลงทุนไทย จองซื้อมากกว่าจำนวนที่เสนอขายโดยมีบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
TFM มีกำลังการผลิตอาหารสัตว์รวมเท่ากับ 273,000 ตันต่อปี เป็นบริษัทย่อย และเป็นบริษัทแกนนำ ในการดำเนินธุรกิจอาหารสัตว์น้ำของกลุ่มบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU)
นายบรรลือศักร โสรัจจกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ (TFM) เปิดเผยว่า TFM มุ่งเน้นพัฒนาสูตรการผลิต และกระบวนการผลิตอาหารสัตว์อย่างต่อเนื่อง สร้างความแตกต่างและยกระดับมาตรฐานคุณภาพให้กับผลิตภัณฑ์ เพื่อการเป็นผู้นำในธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ โดยเน้นตลาดในประเทศเป็นหลักและอยู่ระหว่างขยายสู่ประเทศอินโดนีเซีย และปากีสถาน
บริษัทฯ มีแผนที่จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนมาเพิ่มขีดความสามารถของบริษัทฯ โดยจะลงทุนในเครื่องจักร และการก่อสร้างอาคารโรงงานแห่งใหม่ที่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งจะเน้นการผลิตและจำหน่ายอาหารกุ้งเป็นหลัก นอกจากนี้ยังจะช่วยปรับโครงสร้างทางการเงินจากการชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน และเป็นเงินทุนหมุนเวียน โดย TFM มีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลอย่างน้อยปีละ 2 ครั้งในอัตราไม่น้อยกว่า 50% ต่อปี