HoonSmart.com>> “ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์” เปิดกำไรไตรมาส 2/64 อยู่ที่ 48 ล้านบาท ลดลง 48% จากงวดปีก่อน ต้นทุนราคาวัตถุดิบพุ่งฉุดกำไร ด้านรายได้เติบโตกว่า 20.8% ส่วนงวด 6 เดือน กำไร 102 ล้านบาท ลดลง 19.52% ตลาดหลักทรัพย์ฯ รับหุ้นเข้าเทรด 29 ต.ค.นี้
บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ (TFM) เปิดเผยผลดำเนินงานไตรมาส 2/2564 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.2564 กำไรสุทธิ 48.15 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.12 บาท ลดลง 48% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 92.59 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.23 บาท
ส่วนงวด 6 เดือน ปี 2564 กำไรสุทธิ 102.58 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.25 บาท ลดลง 49.52% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 203.20 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.50 บาท
บริษัทฯ ชี้แจงกำไรกำไรงวด 6 เดือน ลดลงเป็นจากการเพิ่มทุนของต้นทุนขายจากราคาวัตถุดิบหลักที่เพิ่มขึ้น ขณะที่รายได้จากการขายสินค้ามีจำนวน 2,337.5 ล้านบาท เติบโต 20.8% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 17.5% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 เป็น 10.2%
ด้านนายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยินดีต้อนรับบริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดธุรกิจการเกษตร โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “TFM” ในวันที่ 29 ต.ค.2564
TFM ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เศรษฐกิจ และเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำที่มีชื่อเสียงของประเทศไทย โดยผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทฯ ได้แก่ อาหารกุ้ง อาหารปลา และอาหารสัตว์บก บริษัทมีกำลังการผลิตอาหารสัตว์รวมเท่ากับ 273,000 ตันต่อปี ทั้งนี้ TFM เป็นบริษัทย่อย และเป็นบริษัทแกนนำ (Flagship) ในการดำเนินธุรกิจอาหารสัตว์น้ำของกลุ่ม บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU)
TFM มีทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 2 บาท โดยเสนอขายหุ้น 109.3 ล้านหุ้น ประกอบด้วย (1) หุ้นสามัญเพิ่มทุน 90 ล้านหุ้น (2) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย TU 19.3 ล้านหุ้น โดยเสนอขายต่อบุคคลตามดุลพินิจผู้จัดจำหน่าย 40.41 ล้านหุ้น ผู้ลงทุนสถาบัน 50 ล้านหุ้น ผู้มีอุปการะคุณ 16.4 ล้านหุ้น และกรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน ของ TU 2.5 ล้านหุ้นในระหว่างวันที่ 19-21 ตุลาคม 2564 ในราคาหุ้นละ 13.5 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 1,215 ล้านบาท จากมูลค่าเสนอขาย 1,475.55 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 6,750 ล้านบาท
ทั้งนี้ ราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) เท่ากับ 21.7 เท่า โดยคำนวณจากผลประกอบการของบริษัทในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 ถึงไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 ซึ่งเท่ากับ 311.1 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขาย IPO คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น (fully diluted EPS) เท่ากับ 0.60 บาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นายบรรลือศักร โสรัจจกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ (TFM) เปิดเผยว่า TFM มุ่งเน้นพัฒนาสูตรการผลิต และกระบวนการผลิตอาหารสัตว์อย่างต่อเนื่อง สร้างความแตกต่างและยกระดับมาตรฐานคุณภาพให้กับผลิตภัณฑ์ เพื่อการเป็นผู้นำในธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ โดยเน้นตลาดในประเทศเป็นหลักและอยู่ระหว่างขยายสู่ประเทศอินโดนีเซีย และปากีสถาน บริษัทฯ มีแผนที่จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนมาเพิ่มขีดความสามารถของบริษัทฯ โดยจะลงทุนในเครื่องจักร และการก่อสร้างอาคารโรงงานแห่งใหม่ที่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งจะเน้นการผลิตและจำหน่ายอาหารกุ้งเป็นหลัก นอกจากนี้ เงินที่ได้จากการระดมทุนยังจะช่วยปรับโครงสร้างทางการเงินจากการชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน และเป็นเงินทุนหมุนเวียน
TFM มีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างน้อยปีละ 2 ครั้งในอัตราไม่น้อยกว่า 50% ต่อปีโดยพิจารณาจากงบการเงินรวมหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย โดยจำนวนปันผลต้องไม่เกินกำไรสะสมของงบการเงินเฉพาะกิจการ ทั้งนี้ อาจพิจารณาจ่ายเงินปันผลโดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เพื่อผลประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นเป็นหลัก
ทั้งนี้ หลัง IPO TFM จะมีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรก ได้แก่ TU ถือหุ้น 51% กลุ่มนายฤทธิรงค์ บุญมีโชติ ถือหุ้น 11.84% และนายบรรลือศักร โสรัจจกิจ ถือหุ้น 3.1%
อ่านข่าว