HoonSmart.com>> “ปิ่นทอง อินดัสเตรียล” เตรียมขายหุ้น IPO จำนวน 290 ล้านหุ้น ระดมทุนสร้าง Logistics Park คืนหนี้ เป็นเงินทุนหมุนเวียน แผนปี 65 ขายพื้นที่ PIN6 ค่าเช่าเพิ่มขึ้น จ่อตั้งโรงไฟฟ้าเพิ่ม 2 แห่ง กำลังการผลิตรวม 280 เมกะวัตต์ หวังเพิ่มรายได้ประจำแตะ 40-50% จากปัจจุบันมีสัดส่วน 30%ภายใน 3-5 ปี
นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นเพิ่มทุนเสนอขายแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ของบริษัท ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค (PIN) เปิดเผยว่า PIN เตรียมเสนอขายหุ้น IPO 290 ล้านหุ้น คิดเป็น 25% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด คาดว่าจะกำหนดราคา วันจองซื้อหุ้น และเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในช่วงปลายเดือน ต.ค.-ต้นเดือน พ.ย.2564 นี้
“PIN มีจุดเด่น เรื่องทำเลที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรมทั้งหมดอยู่ในพื้นที่ EEC มีโอกาสเติบโตจากโครงการใหม่ๆ เช่น โครงการเขตอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ (Logistics Park) โครงการปิ่นทอง 6 และโครงการสาธารณูปโภคที่สนับสนุนการประกอบธุรกิจนิคมฯ ทั้งโครงการท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ทำให้นิคมฯของ PIN ได้รับประโยชน์จากเม็ดเงินลงทุนใหม่ๆ ของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยในระยะยาว และแผนมุ่งยกระดับโครงการนิคมอุตสาหกรรมไปสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) เพื่อเป็นฐานการผลิตที่สำคัญในไทยและภูมิภาค” นายประเสริฐ กล่าว
นอกจากนี้บริษัทยังบริการที่ครบวงจร One-stop service รวมถึงบริการหลังการขาย ทำให้ลูกค้าประทับใจและมีการบอกต่อหรือแนะนำลูกค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน สร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นหรือนักลงทุนได้เป็นอย่างดี โดยมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิหลังหักเงินสำรองต่างๆ
ด้านนายพีระ ปัทมวรกุลชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค (PIN) เปิดเผยถึงวัตถุประสงค์ของการระดมทุนว่า บริษัทจะนำเงินไปขยายธุรกิจ ในโครงการ Logistics Park แห่งใหม่ เพื่อรองรับการลงทุนของผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมและเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ ส่วนที่เหลือนำไปชำระคืนเงินกู้และเป็นเงินทุนหมุนเวียน ทำให้บริษัทฯ มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และเพิ่มศักยภาพในการสร้างการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคงต่อไป
บริษัทฯ มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญดำเนินธุรกิจพัฒนาและบริหารอสังหาริมทรัพย์มานานกว่า 25 ปี โดยมุ่งพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรม พร้อมระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันของผู้ประกอบการในพื้นที่พาณิชยกรรม ภายใต้การดำเนินงานร่วมกันระหว่างบริษัทฯ และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) (นิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน) รวมถึงยังเป็นผู้พัฒนาอาคารโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าและเพื่อขายสำหรับผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมบนพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และ Logistics Park นอกจากนี้ ยังลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค (PPF) และเป็นผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ของ PPF อีกด้วย
ปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการที่เปิดดำเนินการแล้ว ประกอบด้วยนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง จำนวน 5 โครงการ ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง โครงการ 1-5 (PIN1-5) และโครงการ Logistics Park ได้แก่ โครงการปิ่นทองแลนด์ (PL) โดยมีพื้นที่ที่พัฒนาแล้วกว่า 7,500 ไร่ ใกล้กับท่าเรือแหลมฉบัง ขณะที่โครงการที่กำลังอยู่ระหว่างพัฒนา มี 2 โครงการ ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง โครงการ 6 (PIN6) แบ่งออกเป็น 2 เฟส โดยเฟสแรกพื้นที่ประมาณ 1,322 ไร่ 1 งาน 59.8 ตารางวา คาดว่าจะเริ่มเปิดขายในช่วงปลายเดือน ต.ค.นี้ ซึ่งมีลูกค้าประเทศจีนให้ความสนใจเข้าเซ็นสัญญาซื้อขายเรียบร้อยแล้ว ส่วนเฟสที่ 2 พื้นที่ประมาณ 104 ไร่ คาดว่าจะพัฒนาแล้วเสร็จภายในปี 2565 และโครงการ Logistics Park แห่งใหม่ เป็นอาคารโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า บนพื้นที่ของโครงการที่ประกอบด้วยเขตปลอดอากร (Free Zone) และเขตทั่วไป (General Zone) มีขนาดพื้นที่ประมาณ 350 ไร่ แบ่งออกเป็น 2 เฟส โดยเฟสแรก ใช้เงินลงทุนประมาณ 1,530 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ช่วงกลางปี 2565 ส่วนเฟสที่ 2 ก็จะเริ่มพัฒนาต่อไปในอนาคต
บริษัทมีกลยุทธ์ในการเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำเป็น 40-50% ของรายได้รวม ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันอยู่ที่ 30% ซึ่งจะมาจากรายได้จากค่าเช่าบนพื้นที่นิคมฯโครงการ Logistics Park แห่งใหม่ และรายได้จากการขายสาธารณูปโภค ซึ่งบริษัทมีแผนจะสร้างโรงไฟฟ้าจำนวน 2 แห่ง กำลังการผลิตโรงไฟฟ้าละ 140 เมกะวัตต์ ส่วนรายได้จากการขายที่ดิน ก็ยังมีการเติบโตต่อเนื่อง ปัจจุบันพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง โครงการ 4-6 สามารถขายได้อีก 5 ปี ประมาณ 1,800 ไร่ บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปี 2565 เติบโตไม่ต่ำกว่า 60% โดยมาจากการขายที่ดินที่คาดว่าจะเติบโตประมาณ 70% และค่าเช่าคาดว่าเติบโตประมาณ 50% ส่วนรายได้จากการขายสาธารณูปโภคคาดว่าจะเติบโตประมาณ 10%
ด้านผลประกอบการในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทมีรายได้จากการขายที่ดินอยู่ที่ 205.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% กำไรสุทธิ 99.31 ล้านบาท เติบโตขึ้นประมาณ 79% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 55.57 ล้านบาท ส่วนผลประกอบการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2561-2563) บริษัทฯมีรายได้รวมอยู่ที่ 964.69 ล้านบาท 867.44 ล้านบาท และ 1,128.11 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ 215.40 ล้านบาท 205.92 ล้านบาท และ 347.28 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยการเติบโตที่ดีในปีที่ผ่านมานั้น มาจากการขายที่ดินที่พัฒนาแล้วในโครงการ PIN3, PIN4 และ PIN5 มากขึ้น และยังสามารถเพิ่มสัดส่วนของรายได้ประจำและสม่ำเสมอ จากการให้เช่าและให้บริการเพิ่มขึ้นรวมถึงบริหารควบคุมค่าใช้จ่ายได้มีประสิทธิภาพ