HoonSmart.com>>ไทยประกาศเปิดประเทศ 1 พ.ย.64 ปลุกความเชื่อมั่น เศรษฐกิจหยุดติดลบ ดันเงินบาทแข็งค่าวันเดียวถึง 0.58 บาทหรือ 1.71% หุ้นขึ้น 10 จุด สวนทางตลาดภูมิภาค ต่างชาติพลิกกลับมาซื้อหนักกว่า 5 พันล้าน ราคาทองปรับ 5 รอบ ปิดร่วงลง 250 บาท รมว.คลังชงครม. เคาะมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวเพิ่มสัปดาห์หน้า บล.เอเซียพลัสแนะ 17 หุ้น ธีมราคา Laggard วิ่งระยะกลาง-ยาว 8 หุ้น Beta สูง ลุ้นแรงช่วงสั้น บล.เมย์แบงก์ฯ ให้ทยอยสะสม AOT-CPN-CPALL-KBANK-BBL หุ้นโรงแรมแพง รอซื้อ MINT-CENTEL บล.คันทรี่ เน้นธีมป้องกันเงินเฟ้อเชียร์ BBL-PTTEP
วันที่ 12 ต.ค.2564 ประเทศไทยเฮ! ทั้งหุ้นและค่าเงินสดใสสวนทางตลาดภูมิภาค นักลงทุนพร้อมใจกันลุยซื้อหุ้น หนุนดัชนีทะยานขึ้นไปสูงสุดถึง 22.41 จุด ก่อนเจอแรงขายทำกำไร ทำให้ดัชนีปิดที่ 1,643.64 จุด เพิ่มขึ้น 10.20 จุดหรือ +0.62% มูลค่าการซื้อขายรวม 93,081.47 ล้านบาท ฝีมือนักลงทุนต่างชาติซื้อมากถึง 5,069 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนไทยทิ้ง 2,690 ล้านบาท สถาบันไทยขาย 2,478 ล้านบาท
ด้านค่าเงินบาท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานปิดตลาดที่ 33.31 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นถึง 0.58 บาท คิดเป็น 1.71% เทียบกับราคาปิดวันก่อนที่ 33.89 บาท เป็นระดับแข็งค่าสุดในรอบ 2 สัปดาห์ ตามกระแสฟันด์โฟลว์เข้าหุ้นและบอนด์ไทย อานิสงส์ข่าวเปิดประเทศ
นักวิเคราะห์ คาดว่า ค่าเงินบาทที่พลิกกลับมาแข็งอย่างรวดเร็ว จะกดดันให้นักลงทุนต่างชาติที่ขายช็อตหุ้นไทยไปมาก จะต้องรีบซื้อหุ้นคืน ก่อนที่จะขาดทุนสองเด้งแม้ว่าในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (ส.ค.-ก.ย.) มียอดซื้อสุทธิรวมมากกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท และซื้อต่อเนื่องในเดือนต.ค.(1-12) อีก 9,417.87 ล้านบาทแล้วก็ตาม แรงซื้อจะเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิ -67,287 ล้านบาท
สำหรับราคาทองคำในประเทศ สมาคมค้าทองคำประกาศราคาเปิดลดลงถึงบาทละ 250 บาท ระหว่างวันมีการเปลี่ยนแปลง 5 ครั้ง กลับมาปิดเท่ากับราคาเปิด ลดลง 250 บาท ทองคำแท่ง รับซื้อที่ 27,800 บาท ขายออก 27,900 บาท ทองรูปพรรณรับซื้อ 27,303.16 บาท ขายออก 28,400 บาท
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังกำลังพิจารณาออกมาตรการจากที่จะเปิดประเทศ ในวันที่ 1 พ.ย.2564 ซึ่งขอให้ติดตามจากการพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัปดาห์หน้า เบื้องต้นจะเป็นมาตรการที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ดำเนินการอยู่แล้ว เพื่อเร่งกระตุ้นการท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับนโยบายรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) กล่าวว่า การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวจะเป็นผลดีต่อการใช้พลังงานให้เพิ่มขึ้น ส่วนราคายังคงเคลื่อนไหวตามราคาน้ำมันน้ำมันดิบดูไบที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง มองว่าในระยะยาวน่าจะกลับมาเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 65-75 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากดีมานด์และซัพพลายเข้าสู่จุดสมดุล
สำหรับการลงทุน บล.เอเซียพลัส ได้คัดกรองหุ้นรับกระแสเปิดประเทศ โดยแบ่งออกเป็น 2 ธีม คือ 1หุ้นขนาดใหญ่ราคา Laggard แต่มีโอกาสฟื้นตัวเด่นกว่าตลาดในระยะกลาง – ยาวได้แก่ MINT,MAJOR,PLANB,VGI,ADVANC,BDMS,CPALL,CRC,PTT,TOP,KBANK,TISCO,CPN,LH,AOT,BEM,BTS 2. ธีม Beta สูง ราคามีโอกาสขยับขึ้นได้เร็วในช่วงสั้น คือ AAV,BA,BH,WHA,AMATA,CENTEL,MINT ERW โดยชอบ AOT, KBANK, CENTEL
“ฝ่ายวิจัยได้วิเคราะห์ลงไปในรายกลุ่มในช่วงที่เผชิญกับปัญหาโควิด-19 ถึงปัจุบัน (ราว 1 ปี 10 เดือน) พบว่าหลายกลุ่มยัง Laggard ตลาดอยู่อาทิ ขนส่ง -10.7%, อสังหาริมทรัพย์ -6.8%, ธนาคาร -4.9%, พลังงาน-4.7%, พาณิชย์ -0.9%, การแพทย์ -0.4%,ไอซีที +2.8% เทียบกับ SET เพิ่มขึ้น 3.8%”บล.เอเซีย พลัสระบุ
บล.กสิกรไทยเลือกลุ่ม domestic play ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการกลับมาเปิดเมือง โดยที่ระดับราคาหรือ valuation ยัง laggard ในสัดส่วนประมาณ 70% เช่น SCB, AWC, BEM, CK, MICRO, ORI และ DIF ส่วนกลุ่มส่งออก, กลุ่ม global play ที่คาดว่ากำไรจะยังสามารถเติบโตต่อเนื่องอาทิ KCE, JWD และ SPRC
บล.คันทรี่กรุ๊ปมองว่าสัปดาห์นี้ เรื่องเงินเฟ้อสหรัฐจะมีความสำคัญ จะทราบผลในคืนวันพุธตามเวลาประเทศไทย กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้นแนะธีมป้องกันเงินเฟ้อ เลือก BBL ราคาเป้าหมาย 162 บาท คาดไตรมาสที่ 3 กำไรสุทธิจะอยู่ที่ 6,440 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60%จากช่วงเดียวกันปีก่อนและเพิ่มขึ้น 1.3%เทียบไตรมาสที่ 2 จากการตั้งสำรองที่ลดลงและ PTTEP ราคาเป้าหมาย 146 บาท คาดไตรมาสที่ 3 จะมีกำไร 1.01 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% จากช่วงเดียวกันปีก่อนและเพิ่มขึ้น 41% จากไตรมาสที่ 2
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า หากการเปิดประเทศทำได้จริง ภาพการลงทุนที่เป็นบวกก็คงไม่ใช่แค่ปัจจัยหนุนระยะสั้น แต่จะส่งผลดีขึ้นต่อเนื่อง ถ้าเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาในช่วงปี 2565 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ดัชนีมีโอกาสจะปรับขึ้นไปเหนือกว่าเป้าหมายดัชนีที่คาดไว้ที่ 1,750 จุด โดยมองแนวรับทางเทคนิคไว้ที่ 1,550 จุด
การลงทุนแนะนำหุ้น AOT, CPN, CPALL, KBANK และ BBL สามารถซื้อทยอยสะสมได้ ส่วนหุ้นกลุ่มโรงแรม แนะรอซื้อหลังประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/2564 คาดว่าราคาหุ้นอาจจะมีจังหวะย่อตัว ตอบรับผลประกอบการที่ไม่ดี แต่ในไตรมาส 4 จะเริ่มเห็นหุ้นโรงแรมบางตัว อาจจะมีฐานกำไรปรับตัวที่ขึ้นแล้ว แนะนำ MINT เด่นสุด จากแนวโน้มกำไรที่คาดว่าจะแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม รองลงมาแนะนำ CENTEL
นายณัฐชาต เมฆมาสินผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า การลงทุนในระยะสั้น แนะนำถือครองหุ้นในกลุ่มการบริโภค แนะนำ CPALL, COM7, MAKRO, HMPRO, GLOBAL, DOHOME, GULF, GPSC, BGRIM, OR, PTG, JMT, CHAYO, TTB และ AWC ซึ่งยังไม่รวมกับอีก 2 ปัจจัยบวกที่รออยู่ ได้แก่ มาตรการกระตุ้นผู้บริโภคเพิ่มเติม และกระแส Election Rally ที่อาจจะมากขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงต้นปี 2565
ขณะที่กลุ่มท่องเที่ยว ควรเลือกหุ้นที่ยังมีระดับ EV/Fwd EBITDA ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว ได้แก่ AOT, MINT และ ERW
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้นท่องเที่ยวและโรงแรมปรับตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นเดือน ก.ย.แล้ว ซึ่งหุ้นขนาดใหญ่ที่นำตลาดขึ้นมา อาจจะมีการเคลื่อนไหวผันผวนในช่วงประกาศงบไตรมาส 3 ทำให้หุ้นที่ยังปรับขึ้นช้ากว่าตลาดมีราคาหุ้นเคลื่อนไหวได้ดีกว่า โดยแนะนำ CPNREIT และ GLAND ส่วนหุ้นธนาคารที่ยังมี Upside แนะนำ KBANK และ BBL หุ้นโรงแรมและการท่องเที่ยว ถ้าราคาย่อตัวลงมาก็สามารถทยอยสะสมได้ หรือ ซื้อหลังประกาศงบไตรมาส 3 เนื่องจากไตรมาส 4 เป็นจุดฟื้นตัวได้เต็มที่ และเป็นจุดเข้าซื้อของทั้งนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบัน แนะนำ AOT, MINT และSHR
นายวิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิจัย บล. บัวหลวง กล่าวว่า ราคาหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว และโรงแรมค่อนข้างแพง แนะนำกลุ่มที่ได้ประโยชน์ถัดไปจากการที่เศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัว ได้แก่กลุ่มสินเชื่อ กลุ่มค้าปลีก กลุ่มการบริโภคในประเทศ และกลุ่มขนส่ง ส่วนกลุ่มโรงแรม รอราคาปรับตัวลงมาก่อน หลังประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ค่อยเข้าซื้อเพื่อลงทุน