HoonSmart.com>>ใกล้เทศกาลโชว์ผลประกอบการไตรมาสที่ 3/2564 หลายธุรกิจรวยอู้ฟู่ หลายบริษัทมีกำไรพิเศษ โดยเฉพาะบริษัทที่ขายหุ้นคืนในตลาดหลักทรัพย์ ได้ราคาสูงกว่าต้นทุนที่ซื้อคืนมา อาทิ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) คาดว่าจะได้กำไรประมาณ 166 ล้านบาท และบริษัท อกริเพียว โฮลดิ้งส์ (APURE) น่าจะได้กำไรสูงในไตรมาส 3-4 เพราะมีต้นทุนเพียง 2 บาท/หุ้น เทียบกับราคาในตลาดกว่า 7 บาท บริษัทเพิ่งขายออกเพียง 2 ล็อต (29-30 ก.ย.) จำนวน 9.98 ล้านหุ้น ยังเหลืออีก 18.61 ล้านหุ้น รวมถึงบริษัทที่กำลังขาย เช่น บริษัท เธียรสุรัตน์ (TSR) และยังไม่ได้ขาย หรืออาจจะเลือกใช้การลดทุนแทน เพื่อทำให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น
บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล ซื้อหุ้นคืนระหว่างวันที่ 11 มิ.ย.-ธ.ค.2562 ได้จำนวน 22.30 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.49 % ของทุนเรียกชำระแล้ว ใช้เงินลงทุนไปทั้งสิ้น 1,187.60 ล้านบาท ต้นทุนเฉลี่ย 53.26 บาท/หุ้น แม้บริษัทมีระยะเวลาขายออกตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. 2564 ถึงวันที่ 9 ธ.ค. 2565 แต่กลับตัดสินใจขายทั้งหมดภายในเดือนก.ย.2564 รับเงินทั้งสิ้น 1,353.93 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 60.71 บาท สามารถรับรู้กำไรจากการขายหุ้นคืนในตลาดประมาณ 166 ล้านบาทภายในไตรมาสที่ 3 นี้
บริษัท เอกชัยการแพทย์ (EKH) ซื้อหุ้นคืนจำนวน 6 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 26.54 ล้านบาท ต้นทุนเฉลี่ย 4.42 บาท เมื่อปี 2563 และเลือกทยอยขายหุ้นตั้งแต่ปลายเดือนมี.ค.2564 อย่างต่อเนื่องจนมาปิดโครงการวันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา รับเงินมากกว่า 40 ล้านบาท คาดว่าจะมีกำไรไม่น้อยกว่า 14 ล้านบาท
ส่วนบริษัท อกริเพียว โฮลดิ้งส์ เพิ่งออกสตาร์ทขายหุ้นคืน เมื่อวันที่ 29 ก.ย.และ 30 ก.ย. ได้เงินมาแล้ว 79.22 ล้านบาท มากกว่าเงินที่ใช้เงินลงทุนทั้งหมด 57.63 ล้านบาทสำหรับการซื้อหุ้นจำนวน 28.59 ล้านหุ้น คาดว่าจะรับกำไรประมาณ 59 ล้านบาทในไตรมาสที่ 3 และยังมีหุ้นเหลืออีก 18.61 ล้านหุ้น คาดขายต่อในไตรมาสที่ 4 สร้างกำไรพิเศษอีกก้อนหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ บริษัท ทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์ (III) ได้ยกล็อตขายหุ้นที่ซื้อคืน 8 ล้านหุ้น ได้ราคาสูงกว่า 12 บาท/ หุ้น รับเงินเฉียด 99 ล้านบาทคาดรับรู้กำไรกว่า 58 ล้านบาทหนุนผลงามรวมสดใสในไตรมาสที่ 2 ส่วนไตรมาสนี้ คาดว่ากำไรยังคงโดดเด่นจากธุรกิจโลจิสติกส์เติบโตสูง และเงินลงทุนให้ผลตอบแทนที่ดี
ขณะเดียวกันยังมีบริษัทอีกหลายแห่งที่ยังไม่ตัดสินใจขายหุ้นคืน อาจจะรอให้ภาวะธุรกิจฟื้น หนุนราคาหุ้นให้ขยับขึ้นมาก่อน เช่น บริษัท การบินกรุงเทพ (BA) ซื้อหุ้นคืน 40 ล้านหุ้น ใช้เงินลงทุนทั้งหมด 491.50 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 12.275 บาท/ห้น เมื่อปี 2562 ล่าสุดวันที่ 1 ต.ค.2564 ราคาปิดที่ 11.50 บาท และในเดือนมี.ค. 2563 ได้เปิดโครงการซื้อหุ้นคืนอีกครั้ง จำนวน 24 ล้านหุ้น หรือ 1.14% ภายในวงเงิน 90 ล้านบาท แต่ไม่ได้ซื้อภายในระยะเวลาที่กำหนดวันที่ 18 มี.ค.-17 ส.ค.2563
บริษัท ระยองไวร์ อินดัสตรีส์ (RWI) ใช้เงินลงทุนไปทั้งสิ้น 34.54 ล้านบาท ในการซื้อหุ้นจำนวน 25.64 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.03% ต้นทุนเฉลี่ย 1.35 บาท เมื่อปลายปี 2563 หากขายวันที่ 1 ต.ค.2564 ราคาปิดที่ 2.08 บาท จะได้กำไรประมาณ 18.79 ล้านบาท
ทั้งนี้จะต้องติดตามว่าแต่ละบริษัทจะดำเนินการเกี่ยวกับหุ้นที่ซื้อคืนมาแล้วอย่างไรบ้าง ทางออกมีได้มากกว่าการขายคืนในตลาด บางบริษัทนำไปลดทุนเรียกชำระแล้ว หรือบางแห่งขายคืนส่วนหนึ่งและลดทุนอีกส่วนหนึ่ง เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับบริษัท ทีพีไอ โพลีน (TPIPL) ที่ซื้อหุ้นคืนจำนวน 383.61 ล้านหุ้น ภายในวงเงิน 453.26 ล้านบาท มีการขายออกจำนวน 329.61 ล้านหุ้น รับเงินมากถึง 575.32 ล้านบาท ได้กำไรประมาณ 122 ล้านบาท และยังมีหุ้นเหลืออีก 54 ล้านหุ้น นำไปลดทุนเมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2564 เพิ่มกำไรต่อหุ้น ซึ่งไม่ว่าบริษัทจะเลือกบริหารเงินในรูปแบบใด โครงการซื้อหุ้นคืนก็เกิดประโยชน์ต่อบริษัท และผู้ถือหุันทุกคนอยู่แล้ว สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้ระดับหนึ่งว่ามีสภาพคล่องเพียงพอรองรับการดำเนินงานและชำระหนี้ได้ระยะหนึ่ง