HoonSmart.com>> “เสนาดีเวลลอปเม้นท์” เตรียมขายหุ้นกู้วงเงิน 1,200 ล้านบาท อายุ 3 ปี 6 เดือน จ่ายดอกเบี้ย 4.40% ต่อปี เปิดจอง 20 – 22 ก.ย.นี้ นำเงินชำระคืนเงินกู้ ด้านโครงการใหม่ปีนี้ปรับแผนเหลือ 14 โครงการจากเดิม 18 โครงการ พร้อมปรับยอดขายเหลือ 7,111 ล้านบาท จากเดิมตั้งไว้ 1.1 หมื่นล้านบาท หลังสถานการณ์โควิดกระทบกำลังซื้อ
น.ส.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำทั้งแนวราบและแนวสูงและในฐานะ Developer รายแรกที่ทำหมู่บ้านโซลาร์เต็มรูปแบบ เปิดเผยว่าบริษัทเตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ ครั้งที่ 3/2564 โดยมีจำนวนหุ้นกู้ที่เสนอขายรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 1,200 ล้านบาท ให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ โดยหุ้นกู้มีอายุ 3 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.40% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน
หุ้นกู้นี้เป็นหุ้นกู้ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ โดยคาดว่าจะเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 20 – 22 ก.ย.2564 ผ่านสถาบันการเงินทั้ง 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย , ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย, บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร , บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสินและบริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ จำกัด
วัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ เพื่อเตรียมไว้สำหรับชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอน และเพื่อชำระคืนเงินกู้ระยะยาวภายในเดือนก.พ.2565 ทั้งนี้จากสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันที่ค่อนข้างผันผวน ทำให้บริษัทต้องมีการวางแผนการบริหารกระแสเงินสดด้วยความรอบคอบมากยิ่งขึ้น จึงได้มีการเสนอขายหุ้นกู้บางส่วนก่อนที่หุ้นกู้ชุดเดิมจะครบกำหนด เพื่อกระจายความเสี่ยงในกรณีที่ตลาดอาจมีความผันผวนสูงมากในอนาคต
ปัจจุบัน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทและหุ้นกู้ ที่ระดับ “BBB” แนวโน้ม “Stable” สะท้อนถึงสถานะของธุรกิจที่มีความเข้มแข็งทางการเงิน และสามารถพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างเป็นไปตามเป้าหมายทั้งโครงการในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด โดยเฉพาะทางพันธมิตรธุรกิจ ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป พร้อมร่วมลงทุนในทุกโครงการของเสนา ทำให้บริษัทมียอดขายและยอดโอนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางของผลประกอบการที่ยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างเห็นได้ชัดเจน
สำหรับทิศทางการดำเนินงานของบริษัทนั้นมีการทบทวนปรับลดแผนการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้เหลือ 14 โครงการ มูลค่ารวม 10,565 ล้านบาท จากแผนเดิม 18 โครงการ มูลค่า 16,700 ล้านบาท โดยในครึ่งปีแรก บริษัทเปิดโครงการใหม่ 1 โครงการ คือ โครงการ SENA KITH เวสต์เกต-บางบัวทอง และครึ่งปีหลังนี้ในไตรมาส 3/64 เปิดตัว 4 โครงการ มูลค่า 2.3 พันล้านบาท ซึ่งได้เปิดโครงการ SENA KITH ลาดกระบัง-ฉลองกรุง เฟส 1 ไปแล้ว และเตรียมจะเปิดเฟส 2 ในเดือนก.ย.นี้ พร้อมกับอีก 2 โครงการที่เหลือส่วนไตรมาส 4/64 จะมีจำนวนโครงการที่เปิดตัวมากที่สุด 9 โครงการ มูลค่า 7,000 ล้านบาท ที่ผ่านมาโครงการ แบรนด์ SENA KITH ที่ได้มีการเปิดตัวไปในช่วงที่ปีผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดี
ทั้งนี้ ทางบริษัทคาดว่าในช่วงตั้งแต่เดือน ต.ค. 64 เป็นต้นไป หากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์จะค่อยเริ่มฟื้น หลังจากผู้ซื้อเริ่มมั่นใจในสถานการณ์และกลับมาซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น
ขณะที่ยอดขายในปีนี้ บริษัทปรับลดลงเหลือ 7,111 ล้านบาท จากเดิมอยู่ที่ 11,000 ล้านบาท หลังจากบริษัทตัดสินใจลดจำนวนการเปิดโครงการใหม่ โดยเลื่อนบางโครงการไปเปิดตัวในปี 2565 เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 มีผลกระทบต่อกำลังซื้อ โดยในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ส.ค. 64) บริษัทสามารถทำยอดขายได้แล้ว 3,200 ล้านบาท ส่วนยอดโอนของบริษัทได้ปรับลดลงมาเหลือ 6,943 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ที่ 10,000 ล้านบาท
ทั้งนี้มองว่าจากผลกระทบของมาตรการปิดแคมป์คนงานที่ทำให้การโอนบางโครงการช่วงครึ่งปีหลังต้องเลื่อนออกไป โดยเฉพาะ 2 โครงการ คือ โครงการ Nich Mono Mega Space บางนา มูลค่า 2,400 ล้านบาท และโครงการ Nich Mono อิสรภาพ มูลค่า 849 ล้านบาท ที่จะมีความล่าช้าในการโอนห้องให้กับลูกค้าไปบ้าง แต่จะเริ่มกลับมาทยอยโอนในช่วงปลายไตรมาส 3/64 ต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 4/64 ปัจจุบันยอดรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ทั้งหมด 7,052 ล้านบาท สามารถรับรู้ในปีนี้ 3,689 ล้านบาท ที่ผ่านมาทางบริษัทได้มีการจัดแคมเปญเสนอราคาขายพิเศษ และแคมเปญโปรโมชั่นต่างๆ เพื่อเร่งระบายสต็อกออกอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างรายได้เข้ามาให้กับบริษัท
อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญในการปรับแผนให้สอดรับกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของตลาดในปัจจุบันและอนาคต ที่มุ่งไปสู่การพัฒนาธุรกิจให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยนำหลักการของ ESG หรือ Environment, Social, Governance มาสู่การดำเนินงานทั้งในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การบริการที่ควบคู่กับการดูแลสังคม และสิ่งแวดล้อม โดยไม่ได้คำนึงถึงการเติบโตทางธุรกิจเพียงอย่างเดียว แม้ว่าจะทำให้ต้นทุนของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้น แต่เป็นสิ่งที่ต้องลงทุนแต่ถือเป็นความคุ้มค่าในระยะยาวที่จะทำให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่นในแบรนด์เสนา ตามปรัชญาขององค์กร “ความไว้วางใจจากลูกค้า คือ ความภูมิใจของเรา” ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้วางแนวทางการบริหารความเสี่ยง และได้เข้าไปช่วยเหลือในการเข้าถึงระบบสาธารณสุขตั้งแต่ ระดับ พนักงานภายในองค์กร ลูกค้า ลูกบ้าน พาร์ทเนอร์ และสังคม สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นขององค์กร ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมได้แท้จริง