บล.คิงส์ฟอร์ดแนะเทรดดิ้งระยะสั้นหลังพี/อี SET พุ่ง แนะ BCPG-CRC

HoonSmart.com>> บล.คิงส์ฟอร์ด คาดหุ้นเคลื่อนไหวกรอบแนวรับ 1,625 – 1,630 จุด แนวต้าน 1,645 – 1,650 แนะเทรดดิ้งระยะสั้น หลังดัชนีขึ้นต่อเนื่อง หุ้นแนะนำ เก็งกำไร BCPG ซื้อ CRC

บริษัทหลักทรัพย์คิงส์ฟอร์ด ประเมินดัชนี SET เคลื่อนไหวในกรอบแนวรับ 1,625 – 1,630 จุด แนวต้าน 1,645 – 1,650 จุดแนะนำเทรดดิ้งระยะสั้น เนื่องจากดัชนีเทรดที่ระดับ Forward P/E สูงที่ 20.2 เท่า แนะนำเก็งกำไรกลุ่ม Laggard เช่น DTAC, ADVANC, OR / กลุ่มปิโตร IVL, PTTGC,SCC

วานนี้ตลาดหุ้นไทยได้ปัจจัยหนุนจากจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่มีแนวโน้มลดลง กอปรกับ สธ. เผยมีวัคซีนเพียงพอฉีดในช่วง ต.ค. – ธ.ค. สูงถึง 20 ล้านโดส / เดือน ส่งผลให้มีโอกาสที่ประชากรจำนวน 50% จะได้รับวัคซีนในปีนี้ และสามารถเปิดระบบเศรษฐกิจในสิ้นปีนี้ตามแผน โดยคาดรัฐบาลจะออก มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกรอบช่วงปลายปีนี้ จาก พรก.เงินกู้เพิ่มเติม 5 แสนล้านบาท สัปดาห์นี้ติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล คาดไม่ส่งผลกระทบหลังจำนวนผู้ติดเชื้อเริ่มลดลง

สำหรับหุ้นแนะนำวันนี้ ได้แก่ BCPG (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 17.50 บาท) แนวโน้ม 3Q64 คาดกำไรยังดีต่อเนื่องตามฤดูกาลของการผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนในลาวที่ได้ประโยชน์จากปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีแผนกำหนดการ COD โซลาร์ฟาร์มญี่ปุ่นในช่วง 2H64 อีก 3 โครงการ รวม 65 MW ช่วยผลักดัน EBITDA ในปี 64 เติบโตไม่น้อยกว่า 20% ตามเป้าหมายที่วางไว้

สำหรับโครงการ Monsoon Wind ในลาว 600MW ที่ BCPG ถือหุ้น 45% ล่าสุดประกาศเลื่อน COD ไปเป็นปี 68 จากความล่าช้าของสายส่ง ซึ่งระหว่างนี้บริษัทมีแผนเข้าลงทุนในโครงการใหม่เพิ่มเติม โดยมีงบสำหรับการทำ M&A อีกราว 1.3 หมื่นล้านบาท

หุ้น CRC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 38.00 บาท) รับ Sentiment บวกจากม.ผ่อนคลายการควบคุมที่จะเริ่ม 1 ก.ย.64 การเพิ่มช่องทางการขายใหม่ ๆ ของแพลตฟอร์ม Omnichannel จะช่วยลดปัจจัยกดดันจากการระบาดหนักของโรคใน 3Q21 ได้บางส่วน (ยอดขาย Omni.Food และ Omni.Non-food ในช่วง 2Q21 เติบโตYoY ที่ 169% และ 71% ตามลำดับ)

ขณะที่ 4Q21 จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวหลังจากการกระจายวัคซีนในประเทศไทยสูงขึ้น โดยเฉพาะรายได้ค่าเช่าจะสามารถฟื้นตัวรวดเร็ว สำหรับกลยุทธ์ถัดไปของทางบ. จะหันมาเน้นการขยายตจว.มากขึ้น (จากเดิมเน้นกรุงเทพฯ ปริมณฑล และหัวเมืองท่องเที่ยว) โดยจะเน้นไปที่กลุ่มสินค้า Hard line(ไทวัสดุ และ B2S) และ กลุ่ม Food(Tops) เบื้องต้นเราคาดกำไรสุทธิ ปี64 และ ปี65 ฟื้นตัวอยู่ที่ระดับ 660 ลบ.(+1326%YoY) และ 5,851 ลบ.(+787%YoY) ตามลำดับ