HoonSmart.com>> “ไทยออยล์” คาดธุรกิจครึ่งปีหลังเติบโตกว่า 6 เดือนแรก กรอบราคาน้ำมันดิบทรงตัว 65-70 เหรียญสหรัฐ คาดไตรมาส 3 ได้กำไรสต็อกเล็กน้อย ค่าการกลั่นดีขึ้นอยู่ที่ 3.1 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีฟื้นตัว ยอมรับล็อกดาวน์กระทบความต้องการในปท. 10% ส่วนเงินลงทุนปีนี้ตั้งไว้ 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ โครงการ CFP ยังเดินหน้าตามแผน
นางวนิดา บุญภิรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้านการเงินและบัญชี บริษัท ไทยออยล์ (TOP) เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 คาดว่าน่าจะดีกว่าครึ่งแรกที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,123 ล้านบาท จากการประเมินทิศทางราคาน้ำมันดิบจะทรงตัวในกรอบ 65-70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล สอดคล้องกับปริมาณการใช้น้ำมันทั่วโลกเพิ่มขึ้น คาดในช่วงปลายปีนี้กลับไปที่ระดับ 100 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่ผู้ผลิตน้ำมันในกลุ่ม OPEC+ ได้เริ่มปรับเพิ่มกำลังการผลิต ตั้งแต่เดือน ส.ค.2564 ส่งผลให้อุปทานในช่วงปลายปีนี้เพิ่มขึ้นประมาณ 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทำให้ตลาดอุตสาหกรรมน้ำมันดิบดีขึ้น
ส่วนค่าการกลั่น Singapore Cracking GRM จะมีทิศทางที่ฟื้นตัวได้ดีกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่อยู่ในกรอบ 1.8-2.1 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 3.1 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากความต้องการของน้ำมันเบนซินที่ฟื้นตัวได้ดีขึ้นมาก หลังการเดินทางเริ่มฟื้นตัวในประเทศที่พัฒนาแล้ว ส่วนน้ำมันชนิดกลาง อาทิ น้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยาน ก็คาดว่าจะเริ่มดีขึ้น
ขณะที่ในประเทศไทย ก็มีผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภาพรวมในปี 2564 ความต้องการเริ่มฟื้นตัวขึ้นในกลุ่มน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล แต่ในช่วงที่ล็อกดาวน์เต็มเดือน ก็มีผลกระทบบ้าง คาดว่าความต้องการจะลดลงประมาณ 10% ส่วนน้ำมันอากาศยาน บริษัทได้ลดการผลิตไป เนื่องจากการหยุดบิน ซึ่งบริษัทได้มีกลยุทธ์ในการบริหารจัดการการขายในประเทศเป็นอย่างดี และกระจายความเสี่ยงในการขายการส่งออกไปยังประเทศใกล้เคียง
ด้านส่วนต่างราคา(สเปรด)ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในช่วงครึ่งปีหลัง ก็มีแนวโน้มที่ฟื้นตัวดีขึ้น คาดว่าจะยังสามารถทรงตัวในระดับที่ดีได้ ถึงแม้ว่าการเกิดขึ้นของผู้ผลิตรายใหม่ๆที่เข้ามาในตลาดจะเป็นปัจจัยกดดันอัตรากำไร แต่ภาพรวมความว่าจะฟื้นตัวได้ดีกว่าครึ่งแรกของปีนี้
“ในปีนี้เราเชื่อว่า ภาพธุรกิจน่าจะดีขึ้น จากปีก่อนที่โดนผลกระทบโควิด ส่วนราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา ทำให้เรามีกำไรสต็อก ซึ่งราคาน้ำมันขึ้นไปพีคสุดช่วงไตรมาส 2 ส่วนไตรมาส 3 ก็อาจจะได้กำไรสต็อกบ้างเล็กน้อย ด้านเงินบาทอ่อนก็มีผลดีจากการขายน้ำมัน ส่วนผลเชิงลบ เรามีเงินกู้สกุลเงินดอลลาร์ ทำให้เรามีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน” นางวนิดา
สำหรับเงินลงทุนในปี 2564 ตั้งไว้ที่ 1,600 ล้านเหรียญสหรัฐ (ใช้ลงทุนในธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับโอเลฟินส์) ที่ผ่านมาใช้ไปแล้ว 600 ล้านเหรียญสหรัฐ ช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่าจะใช้ตามแผนอีก 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนโครงการพลังงานสะอาด (CFP) ยังเดินหน้าตามแผน โดยจะทำกลยุทธ์ร่วมกับ PT Chandra Asri (CAP) ในการส่งวัตถุดิบ ประเภทก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) และ Light Naphtha ไป CAP ปีละประมาณ 1 ล้านตัน