HoonSmart.com>>”ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล” มองครึ่งปีหลังดีขึ้น ธุรกิจโรงแรม โดยเฉพาะในยุโรป ลุ้นเห็นจุดคุ้มทุนที่อิบิทดา ธุรกิจอาหารผ่านจุดคุ้มทุนมาแล้ว 4 ไตรมาส ธุรกิจไลฟ์สไตล์ยังต้องรอเวลา บริษัทยังคงเน้นกลยุทธ์ลดกระแสเงินไหลออก ตัดต้นทุน-งบลงทุน สภาพคล่องดีขึ้นตามผลดำเนินงาน รวบรวมเงินหน้าตักมีมากกว่า 5 หมื่นล้านบาท บริหารธุรกิจต่อไปได้ นักวิเคราะห์ 11 ราย แนะนำซื้อ หุ้น MINT ฮอต เล่นธีมเปิดเมือง
นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) เปิดเผยว่า บริษัทยังคงใช้กลยุทธ์รับมือกับโควิด โดยการตัดต้นทุน ค่าใช้จ่ายลง และการลงทุน ทำให้ปริมาณเงินไหลออกน้อยลงเรื่อยๆ สภาพคล่องดีขึ้น กระแสเงินสดจากการดำเนินงานพลิกเป็นบวกรวมถึงการขายโรงแรม เมื่อรวบรวมเงินจากทุกช่องทางจะมีมากกว่า 5 หมื่นล้านบาท พอที่จะทำธุรกิจต่อไปได้
ขณะเดียวกันแนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลังดีขึ้น โดยเฉพาะโรงแรมยุโรป นอกจากมีการขายโรงแรม สามารถรับรู้กำไรส่วนหนึ่งแล้ว และการดำเนินงานน่าจะเห็นจุดคุ้มทุนที่ อิบิทดา เพราะมีการกระจายการฉีดวัคซีนมากกว่า 70% ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวในยุโรปมากขึ้น สอดคล้องกับโมเดลธุรกิจโรงแรมของบริษัท ซึ่งได้ผลประโยชน์ชัดเจน อัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากระดับ 23% เมื่อเดือนก.ค. และต้นเดือนส.ค.เพิ่มเป็นประมาณ 42-43% สัปดาห์ก่อนปรับขึ้นเป็น 60% นอกจากนี้ในไตรมาส 3 เป็นช่วงไฮซีซั่นของยุโรป คาดว่าในไตรมาส 4 จะมีการเดินทางมากขึ้นหลังจากอั้นมานาน รวมถึงมีการปรับขึ้นราคาค่าห้องพักด้วย
ส่วนโรงแรมในเมืองไทยยังต้องรอประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดระลอกใหม่ แต่การนำร่องเปิดจ.ภูเก็ต และเกาะสมุยในครึ่งปีหลัง ส่งผลดีเพราะบริษัทมีโรงแรมหลายโรงในภูเก็ต และสมุย ส่วนธุรกิจอาหาร พอร์ตส่วนใหญ่อยู่ในประเทศไทย ได้รับผลกระทบบ้าง มีการปรับช่องทางการจำหน่ายและตัดต้นทุนลง สามารถต้านทานการเกิดโควิดระลอก 3 และ 4 ได้ ขณะที่ธุรกิจอาหารที่จีนและออสเตรเลียดีขึ้น ช่วยได้มาก ส่วนธุรกิจไลฟ์สไตล์ อยู่ในเมืองไทย ยังจะต้องรอสถานการณ์
“ผลงานจะกลับมามีกำไรสุทธิเมื่อไร ยังต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีความไม่แน่นอนในภูมิภาค รวมถึงเมืองไทย แต่ธุรกิจดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจโรงแรม จุดคุ้มทุนอยู่ที่อัตราการเข้าพัก 32-39% ไตรมาส 2 อยู่ที่ 28% เมืองไทยใกล้จะถึงจุดคุ้มทุน ยุโรปและสหรัฐปลายไตรมาสที่ 2 แตะ 30%ต้นๆ ส่วนออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ผ่านจุดคุ้มทุนแล้ว สำหรับธุรกิจอาหาร คุ้มทุนมา 4 ไตรมาสแล้ว สภาพคล่องก็ดีขึ้น มีการออกหุ้นกู้ ขายทรัพย์สินโรงแรม ได้เงินมา 125.5 ล้านยูโรและ 148 ล้านยูโร เป็นไปตามเป้าหมาย”นายชัยพัฒน์กล่าว
นอกจากนี้ได้มีการลดงบลงทุน ในปี 2564 เหลือเกือบ 5 พันล้านบาท ปี 2565 อยู่ที่ 6 พันล้านบาท และปี 2566 อยู่ที่กว่า 8 พันล้านบาท ก็ลดลงมาพอสมควร
นางจุฑาทิพ อดุลพันธุ์ รองประธานฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ กล่าวว่า ในช่วง 1-2 ปี ยังมีการลดการลงทุน เพื่อสำรองกระแสเงินสด D/E อยู่ที่ 2.17 เท่า ในไตรมาสที่ 2/2564 เพราะถือเงินสดค่อนข้างเยอะ ในสถานการณ์ปกติจะถือไม่ถึง 1 หมื่นล้านบาท เมื่อมีความไม่แน่นอนมาก ก็ถือถึง 3 หมื่นล้านบาท หากคืนหนี้ เหลือ D/E สุทธิ 1.7 เท่า คาดมีเงิน 1.5 หมื่นล้านบาทจากการแปลงวอร์แรนต์ และวงเงินกู้จากแบงก์เกือบ 2 หมื่นล้านบาท
ด้านนักวิเคราะห์ 11 รายจากทั้งหมด 13 รายยังคงแนะนำ”ซื้อ” หุ้น MINT ให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 34.11 บาท และราคากลางที่ 35 บาท โดยบล.ซีจีเอส -ซีไอเอ็มบีได้ลดน้ำหนักและให้ราคาเป้าหมายต่ำสุดเพียง 23 บาท ส่วนบล.บัวหลวงและบล.คันทรี่กรุ๊ปให้เป้าหมายสูงสุด 36 บาท
ในช่วงนี้หุ้น MINTได้รับความสนใจจากนักลงทุนสูงมาก วันที่ 18 ส.ค.ราคาขึ้นไปสูงสุดที่ 32.25 บาท ก่อนปิดที่ระดับ 31.50 บาท +0.75 บาทหรือ 2.44% ด้วยมูลค่าการซื้อขายสูงถึง 1,063 ล้านบาท และส่งดีต่อเนื่องถึงวอร์แรนต์ เช่น MINT-W9 ปิดที่ 4.22 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาทหรอ 2.43% หลังจากนักลงทุนเล่นธีมเปิดเมือง เมื่อตัวเลขโควิดทรงตัว บางส่วนก็ดีขึ้น
บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) ยังคงแนะนำซื้อ MINT ราคาเป้าหมาย 35.40 บาท หลังจากโรงแรมในยุโรปฟื้นตัวเด่น รวมถึงธุรกิจอาหารในต่างประเทศ อย่างจีนและออสเตรเลีย ฟื้นตัวที่เร็วและแรงอย่างต่อเนื่อง หนุนภาพรวมครึ่งปีหลังโต จากครึ่งปีแรกขาดทุนปกติราว 9 พันล้านบาท เทียบกับที่เราคาดการณ์ปี 2564ไว้ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท
“MINT รายงานผลงานไตรมาสที่ 2/2564 ขาดทุนสุทธิ 3.9 พันล้านบาท หากหักรายการพิเศษออกไป จะเหลือขาดทุนปกติที่ 3.4 พันล้านบาท ดีกว่าที่เราและตลาดคาดการณ์ขาดทุน 5.1 พันล้านบาท และ 4.8 พันล้านบาทตามลำดับ จากรายได้โรงแรมยุโรปฟื้นตัวดีกว่าคาด “บล.หยวนต้าระบุ