HoonSmart.com>> บลจ.ไทยพาณิชย์ มองโอกาสลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แนะลงทุน SCBGPROP เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนสู้กับอัตราเงินเฟ้อ เชื่อ outperform จะกลับมา outperform ตลาดหุ้นโลก ด้วยธีม recovery จากภาพเศรษฐกิจทั่วโลกที่ค่อยๆ ฟื้นตัว
นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บลจ.ไทยพาณิชย์ ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และ REIT ซึ่งกำลังได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรป ที่มีอัตราการฉีดวัคซีนในระดับสูงและมีการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้การลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้สามารถให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ โดยข้อมูลอ้างอิงจากดัชนี FTSE EPRA/NAREIT Developed Index พบว่า ในอดีตค่าเช่าสินทรัพย์สามารถให้ผลตอบแทนที่เหนือกว่าอัตราเงินเฟ้อ ส่งผลให้ผลตอบแทนจากการลงทุนเพิ่มขึ้นในระยะยาว รวมถึงอัตราเงินปันผลของหลักทรัพย์อสังหาริมทรัพย์ทั่วโลกก็อยู่ในอัตราร้อยละ 3.5 ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินปันผลของทรัพย์สินประเภทอื่นค่อนข้างมาก (ที่มา : ข้อมูลจาก BlackRock ณ 31 มีนาคม 2564)
ถึงแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาทั่วโลกต่างก็ประสบกับการแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างรุนแรงตั้งแต่ต้นปี 2563 ทำให้หลายประเทศต้องออกมาตรการปิดเมืองเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด จนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง ภาคธุรกิจหลายส่วนได้รับผลกระทบทางลบ โดยเฉพาะการลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และ REIT ทั่วโลก ที่นับเป็นสินทรัพย์ที่รายได้หลักมาจากการเก็บค่าเช่า สร้างความกังวลให้แก่นักลงทุนที่มองว่าผลประกอบการจะได้รับผลกระทบจากการปิดเมือง อาจทำให้ไม่สามารถจ่ายปันผลได้ส่งผลให้ราคาปรับตัวลดลงอย่างมาก โดยดัชนี Global REIT Index มีการปรับลดลง -45% ในช่วงเดือนมี.ค.2563 ที่มีการระบาดหนักรอบแรก
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และ REIT ทั่วโลก จะสามารถกลับมา outperform ตลาดหุ้นโลกด้วยธีม recovery จากภาพเศรษฐกิจทั่วโลกที่ค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นจากปัจจัยหลัก ๆ ได้แก่ 1) การเปิดเมืองที่มีแนวโน้มเป็นไปค่อนข้างเร็ว ถึงแม้ว่าระดับราคาของ REIT ทั่วโลกจะปรับตัวกลับขึ้นมาค่อนข้างสูงโดยผ่านจุดสูงสุดเดิมในช่วงก่อนการแพร่ระบาด COVID-19 แล้วอยู่ที่ YTD +20% (ที่มา: Bloomberg) แต่เมื่อเทียบกับหุ้นโลกยังถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่ laggard และยังมีโอกาสการฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ หลังจากที่ประชากรได้รับการฉีดวัคซีนโดสแรกมีสัดส่วนเกิน 60% ทำให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติได้อีกครั้ง
2) ผลประกอบการของ REIT ทั่วโลกได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2 ปี 2563 และมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวต่อเนื่อง ดังเห็นได้จากการปรับประมาณการ Earnings ของ REIT ทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นหลังจากเริ่มมีการผ่อนปรนมาตรการ Lockdown และ 3) ความน่าสนใจในสินทรัพย์ประเภทนี้จะอยู่ที่อัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยระยะยาว โดยคาดว่าแนวโน้มภาวะดอกเบี้ยทั่วโลกในระยะข้างหน้าจะอยู่ในระดับต่ำ จากการที่ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงผ่อนคลายนโยบายการเงินไปอีกระยะหนึ่ง
นอกจากนี้ การลงทุนในหลักทรัพย์กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมุ่งเน้นรายได้จากกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจะช่วยกระจายความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตการลงทุนได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นักลงทุนควรต้องติดตาม ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยและสภาพคล่องในระบบ ตัวเลขผู้ติดเชื้อ การกลายพันธุ์ของ COVID-19 และพัฒนาการการฉีดวัคซีน รวมถึงการเปิดเมืองที่อาจเกิดความผันผวนกในระหว่างการฟื้นตัวค่อยเป็นค่อยไปตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
สำหรับกองทุนแนะนำ ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอล พร็อพเพอร์ตี้ (SCB Global Property : SCBGPROP) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว ได้แก่ BGF WORLD REAL ESTATE SECURITIES FUND (กองทุนหลัก) ในสกุลเงิน USD โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน มีนโยบายเน้นบริหารเพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนใน REIT ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือหลักทรัพย์ของบริษัทที่ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก ภายใต้การบริหารจัดการของ BlackRock Investment Management (UK) Limited โดยกองทุนหลักเน้นลงทุนใน REIT ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือหลักทรัพย์ของบริษัทที่ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่มีสัดส่วนในสหรัฐฯ และในยุโรป
นอกจากนี้ กองทุนหลักยังมีทีมบริหารที่เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ในหลากหลายภูมิภาคต่าง ๆ 24 แห่งทั่วโลก ภายใต้สินทรัพย์การบริหารจัดการมากกว่า 48,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา กองทุน SCBGPROP ได้มีการจ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ในอัตรา 0.1145 บาทต่อหน่วย ซึ่งนับเป็นการจ่ายปันผลครั้งที่ 10 รวมเป็นจำนวนเงิน 1.3777 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2559)