HoonSmart.com>>ธนาคารเกียรตินาคินภัทรเปิดแผนดำเนินงานปี 64 บุกธุรกิจแบงก์ บริหารความมั่งคั่ง วาณิชธนกิจ เพิ่มสินทรัพย์ที่มีคุณภาพและรายได้ คุยกลยุทธ์บุกสินเชื่อควบคู่กับการแก้ไขปัญหาในปีที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จ โกยกำไรกว่า 5 พันล้านบาท สำรองสูง ปีนี้ไม่เป็นภาระมากนัก
นาย อภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวว่า บริษัทไม่เคยวางนโยบายเป็นหุ้นปันผล แต่จะมองเรื่องเงินกองทุนที่มีความมั่นคงสูงเป็นสำคัญ ที่ผ่านมามีมากเกินไป ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากเงินกองทุนขั้นที่ 2 แต่ปัจจุบันสถานการณ์มีความไม่แน่อนสูง และจะต้องใช้เงินกองทุนในการขยายสินเชื่อ อาจจะทำให้เงินปันผลลดลง แต่แลกด้วยกำไรค่อนข้างสูง ทั้งนี้ธนาคารมีเงินกองทุนทั้งสิ้น 18.15% และเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่ 14.14% ขณะที่ผลตอบแทนปันผลที่ผ่านมาสูงกว่า 7% ต่อปี
ส่วนแผนธุรกิจในปี 2564 ธนาคารตั้งเป้าสินเชื่อเติบโตมากกว่า 5% และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) เพิ่มเป็น 4% จากสิ้นปี 2563 อยู่ที่ราว 2.9% โดยจะควบคุม NPLs ให้ไม่เกิน 4.5% หนี้ที่มีปัญหาส่วนหนึ่งเป็นผลจากกลุ่มลูกค้า 5% ที่เข้ามาตรการพักชำระหนี้รอบแรก ไม่สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ จึงกลับมาเป็น NPLs ในช่วงต้นปีนี้ และยังคงต้องติดตามว่าลูกค้าที่เข้ามาตรการพักชำระหนี้รอบ 2 จะกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติเพียงใดหลังจากสิ้นสุดมาตรการ โดยในเดือนม.ค.มีลูกค้าเข้าโครงการจำนวน 10,000 ราย ขณะที่รอบแรกเข้ามาทั้งสิ้น 2.5 แสนราย
” ปี 2563 สินเชื่อโตมากถึง 12.4% เพราะเราตัดสินใจเติบโตสินเชื่อควบคู่กับการแก้ไขปัญหา เชื่อว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูก แม้หักคนพักหนี้ ก็ยังเติบโตได้สูง มีสินทรัพย์ที่ดีเข้ามา และสร้างรายได้จากการอำนวยสินเชื่อที่มากขึ้น ลดผลกระทบด้านต้นทุนเครดิตได้ค่อนข้าเงเยอะ แม้ว่าครึ่งปีหลังตั้งสำรองเพิ่ม 2 พันกว่าล้านบาท มีกำไรรวม 5,123 ล้านบาท ลดลง 14% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 5,988 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ 170.9% เพิ่มขึ้นจาก 111.2 ในปี 2562 ในปี 2564 คงไม่ต้องตั้งสำรองเหมือนที่ผ่านมา”
ส่วนการดำเนินงานในปี 2564 ยังคงเน้นธุรกิจ 3 แกน คือธนาคารพาณิชย์ การให้บริการลูกค้าบริหารความมั่งคั่ง และธุรกิจวาณิชธนกิจ เกี่ยวข้องกับตลาดทุนที่มีความผันผวน และสภาพคล่องสูง สามารถแตกแขนงรายได้ สามารถเติบโตได้สูง ทั้งรายได้และผลตอบแทน โดยสินเชื่อสร้างรายได้ที่มั่นคง แม้มีการพึ่งพาลูกค้ารายย่อยมากก็ตาม ส่วนอีก 2 ธุรกิจ เป็นลูกค้าบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูง และบรรษัทขนาดใหญ่ สามารถรองรับปัญหาได้ดีกว่าลูกค้ารายย่อย ในปีนี้น่าจะเห็นการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น จากปีก่อนมีเพียง 1 บริษัท ซึ่งหุ้นตัวแรกของปีที่ธนาคารได้มีส่วนร่วมคือบริษัท ปตท.น้ำมันและค้าปลีก (OR) จะทำให้รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ธนาคารจะพยามยามเพิ่มสัดส่วนให้ถึง 40% จากปีก่อนเพิ่มเป็น 32% เดิมอยู่ที่ 30% เพื่อทำให้รายได้มีการกระจายตัวที่ชัดเจนมากขึ้น