HoonSmart.com>>เมืองไทยประกันชีวิต เผยเป้าหมายการดำเนินธุรกิจปี 64 เป้าโต 35% เปิดโครงการ “Super Health” ครอบคลุมทุกเจนเนอเรชั่น ตามไลฟ์สไตล์ ชูจุดแข็งด้วยประกัน “ดี คิดส์” รับผู้สมัครเอาประกันอายุ 1 เดือน สูงสุด 80 ปี คุ้มครองจนถึงอายุ 99 ปี เดินหน้าเปิดแพลตฟอร์ม LearnRu สำหรับพัฒนาตัวแทน และลงทุนด้านเทคโนโลยีพัฒนาระบบหลังบ้านลดค่าใช้จ่ายและลดระยะเวลาการเบิกเคลม
นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต (MTL) เปิดเผยว่า ในปี 63 เกิดสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจด้านสุขภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงช่วยเร่งให้มีการปรับตัวเข้าสู่โลกยุคดิจิทัลได้อย่างรวดเร็วและสอดรับ กับรูปแบบการใช้ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ที่เมืองไทยประกันชีวิต ได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและสุขภาพที่สามารถเข้าถึงความต้องการ ของลูกค้าในทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างเหมาะสม
ในด้านผลการดำเนินงานของเมืองไทยประกันชีวิต ในปี 2563 มีอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันภัย รับใหม่สำหรับผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตประเภทการประกันสุขภาพและโรคร้ายแรง (Health & CI) อยู่ที่ 21% มีสัดส่วนการขายแบบประกันชีวิตประเภทคุ้มครองชีวิตและประกันชีวิตควบการลงทุน (Protection and Investment Linked Product Portion) สูงถึง 76% ขณะเดียวกันมีผลงานจากช่องทางการขายผ่าน Online Sales เติบโต 120% เมื่อเทียบกับปี62 ในด้านความแข็งแกร่งและด้านเสถียรภาพทางด้านการเงิน เมืองไทยประกันชีวิตได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Rating) จาก S&P Global Ratings อยู่ที่ระดับ BBB+ โดยแนวโน้มมีเสถียรภาพ และจากฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) อยู่ที่ ‘A-‘ โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิต มีเสถียรภาพ และคงอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศ (National IFS) ที่ ‘AAA(tha)’ โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ ซึ่งถือเป็นอันดับเครดิตในระดับประเทศที่สูงที่สุดแล้ว และยังมีความเพียงพอ ของเงินกองทุนอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งโดยสะท้อนจากอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนซึ่งอยู่ที่ 309% ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 ซึ่งสูงกว่าระดับเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามเกณฑ์ที่ 120%
นายสาระ กล่าวว่า สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 64 เมืองไทยประกันชีวิต มุ่งมั่นในการ เป็นแบรนด์ที่ลูกค้าให้ความวางใจ ภายใต้นโยบาย “MTL Trusted Lifetime Partner” ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ ผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ผ่านแพลตฟอร์ม Digital และ Non-digital ที่สามารถเข้าถึงความต้องการในทุกไลฟ์สไตล์ พร้อมให้ความสำคัญกับการขยายตลาดไปสู่ประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง (Regional Company)
ทั้งนี้บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการ “Super Health” ที่ตอบโจทย์ในทุก Segments เข้าถึง กลุ่มอายุที่หลากหลายเลือกซื้อได้ตามไลฟ์สไตล์ ดูแลค่าใช้จ่ายตั้งแต่บาทแรก รวมไปถึงสามารถเลือกความคุ้มครองแบบผู้ป่วยนอก (OPD) แบบผู้ป่วยใน (IPD) หรือเลือกความคุ้มครองได้ทั้งสองแบบ ล่าสุดบริษัทฯ ได้เปิดตัว “โครงการ ดี คิดส์ (D Kids Campaign)” คุ้มครองตั้งแต่วัยเด็ก เริ่มสมัครได้ตั้งแต่อายุ 30 วัน ดูแลค่าใช้จ่ายส่วนเกิน ให้ความคุ้มครองค่าห้องเดี่ยวมาตรฐาน ค่าห้องผู้ป่วยหนัก (ไอ.ซี.ยู.) ค่าหมอ ค่ายา ค่าตรวจ ค่าผ่าตัด ค่ารักษาพยาบาลกรณีแอดมิดเหมาจ่ายในวงเงินเดียวสูงสุดถึง 5 ล้านบาท(1) ต่อการเข้าพักรักษาตัวครั้งใดครั้งหนึ่ง ดูแลถึงอายุ 99 ปี นอกจากนี้ยังได้ขยายอายุรับประกันภัยสัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ อีลิท เฮลท์ จากเดิมอายุรับประกันอยู่ที่ 18-80 ปี เป็นอายุ 11-80 ปี พร้อมอุ่นใจได้ยาว คุ้มครองถึงอายุ 99 ปี คุ้มครองสุขภาพทั้งโรคระบาด โรคร้ายแรง โรคทั่วไป และอุบัติเหตุ แบบจ่ายตามจริง 20 – 100 ล้านบาทต่อปี สำหรับผู้เอาประกันภัยอายุต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ ได้รับความคุ้มครองเพิ่มเติม ค่าเตียงเสริมสำหรับพ่อ หรือแม่สำหรับการมาเฝ้าไข้ลูก 5,000 บาท/วัน(2)
นายสาระ กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าทำการตลาดแบบหลากหลายช่องทางไม่ว่าจะเป็นช่องทางตัวแทนประกันชีวิต ช่องทางธนาคาร ช่องทางโบรกเกอร์ รวมไปถึงการขายประกันออนไลน์ ที่เป็นแบบออนไลน์ทั้งระบบการขาย (Online E2E) หรือผสมผสานการขาย (Hybrid) นำกระบวนการขายแบบ Digital Face to Face หรือแบบ Face to Face เข้ามาอยู่ในกระบวนการขาย ที่ผสมผสานการเสนอขายผ่านช่องทาง Face to Face และ Digital Face to Face ด้วยมาตรฐานการเป็นตัวแทนประกันชีวิตที่มีความเป็นมืออาชีพ มุ่งสู่การเป็นผู้ออกแบบทางการเงิน (Life Planner) และยังเตรียมพัฒนาระบบและเครื่องมือสนับสนุนการขายให้ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นยกระดับทักษะและความรู้ของบุคลากรทุกระดับ ทั้งตัวแทน พนักงาน และผู้บริหาร สามารถปรับตัวและรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงในยุค Disruptive Technology โดยได้เปิดตัวแพลตฟอร์มการเรียนรู้ ภายใต้ชื่อ “LearnRU” (เลิร์นรู้) ที่จะสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่ทันสมัย รวดเร็ว และเข้าได้จากทุกที่ ตอบโจทย์การเรียนรู้ในแบบออนไลน์ ทั้งแบบออนไลน์สด (Live Streaming) หรือการสัมมนาแบบเสมือนจริง (Virtual Workshop) สามารถถาม-ตอบ แลกเปลี่ยนความรู้ได้อย่างเต็มที่ รวมถึงสามารถเข้าถึงคลังความรู้ที่หลากหลายทั้งแบบ Micro Learning และแบบ Online Content ได้แก่ VDO สื่อ Infographic E-book หรือ Podcast โดยเปรียบเสมือนห้องเรียนและคลังความรู้ในมือคุณ
“การดำเนินธุรกิจในปีนี้แม้ยังต้องเผชิญกับความท้าทายที่หลากหลาย แต่เรายังคงมุ่งมั่นที่จะคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ครบในทุกด้าน เพื่อตอกย้ำนโยบาย MTL Trusted Lifetime Partner นอกจากนี้ ยังมีพันธมิตรของบริษัทฯ ที่สนับสนุนในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี ได้แก่ Fuchsia Venture Capital และบริษัท AIgen (ไอเจ็น) รวมถึง Gettgo ทั้งหมดนี้คือจุดยืน ของบริษัทฯ ที่มีความตั้งใจแน่วแน่ ในการส่งมอบการบริการและการขายที่เป็นเลิศให้แก่ลูกค้า เพื่อตอกย้ำ การดูแลและอยู่เคียงข้างลูกค้าในทุกช่วงของชีวิตที่จะต้องเกิดขึ้นและบรรลุผลสำเร็จให้ได้ “Make It Happen” ” นายสาระ กล่าว