HoonSmart.com>> ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดกำไรปี 63 จำนวน 27,218 ล้านบาท ลดลง 33% จากงวดปีก่อน ตั้งสำรอง 46,649 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% เสริมแกร่ง รับมือโควิด-19 ด้านสินเชื่อขยายตัว 7% พร้อมตั้งเป้าปี 64 สินเชื่อขยายตัว 3-5% NIM อยู่ที่ 3.0-3.2% คาดหนี้เสียเพิ่มขึ้นแตะ 4.0-4.5% จ่ากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 3.68%
ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เปิดเผยผลการดำเนินงานงวดปี 2563 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.2563 กำไรสุทธิ 27,217.60 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 8.01 บาท ลดลง 33% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 40,436.35 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 11.90 บาท
ธนาคารชี้แจงว่า ท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงและความท้าทายในการดำเนินธุรกิจอันเกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้กำไรสุทธิลดลง เป็นผลจากการตั้งสำรองที่สูงขึ้น ทั้งนี้ กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองมีจำนวน 80,437 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อน (ไม่รวมกำไรพิเศษครั้งเดียวจากการขายหุ้นในบริษัทไทยพาณิชย์ประกันชีวิตในปีก่อน) ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยที่แข็งแกร่งและการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ
ในปี 2563 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 96,899 ล้านบาท ลดลง 3% จากปีก่อน สาเหตุหลักมาจากผลกระทบของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายหลายครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี ในขณะที่สินเชื่อโดยรวมขยายตัว 7% จากปีก่อน จากความต้องการสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจขนาดใหญ่และการสนับสนุนสินเชื่อซอฟท์โลนให้กับลูกค้าธุรกิจ
รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 47,869 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อน (ไม่รวมกำไรพิเศษครั้งเดียวจากการขายหุ้นในบริษัทไทยพาณิชย์ประกันชีวิตในปี 2562) โดยรายได้จากธุรกิจการขายผลิตภัณฑ์ประกันผ่านธนาคารและธุรกิจการบริหารความมั่งคั่งยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปภายหลังจากการผ่อนคลายมาตรการปิดเมืองในช่วงปลายเดือนมิ.ย.
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมีจำนวน 64,330 ล้านบาท ลดลง 9% จากปีก่อน เป็นผลจากการที่ธนาคารสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ของธนาคารในปี 2563 ปรับตัวดีขึ้นเป็น 44% จาก 49% ในปีก่อน (หากไม่รวมรายการพิเศษครั้งเดียวในปี 2562)
ในปี 2563 ธนาคารได้ตั้งสำรอง 46,649 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% จากปีก่อน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์เศรษฐกิจของการแพร่ระบาดของโควิด-19
อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ณ สิ้นปี 2563 อยู่ที่ 3.68% เพิ่มขึ้นจาก 3.41% ในปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลของการจัดชั้นลูกหนี้เชิงคุณภาพในกลุ่มลูกค้าที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคารยังอยู่ในระดับสูงที่ 141% ในขณะที่เงินกองทุนตามกฎหมายของธนาคารยังอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 18.2%
สำหรับปี 2564 เมื่อพิจารณาจากสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีความไม่แน่นอน ธนาคารมุ่งเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ และมีเป้าหมายการเติบโตสินเชื่อในระดับปานกลางที่ 3-5% ในปี 2564 ทั้งนี้ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจะยังคงได้รับแรงกดดันสูงอยู่ จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งในปี 2563
กลยุทธ์ของธนาคารที่มุ่งเน้นการเติบโตสินเชื่อเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่มีคุณภาพสูง ภาวะสภาพคล่องส่วนเกินและการปล่อยสินเชื่อซอฟท์โลนที่ให้แก่ลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ดังนั้น ธนาคารคาดว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับ 3.0-3.2% เนื่องจากในปี 2563 ธนาคารมีบันทึกรายการรายได้ที่เกิดไม่ประจำ (non-recurring) หลายรายการ ทำให้คาดว่าการเติบโตของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับทรงตัว แต่คาดว่ารายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยประเภทเกิดประจำ (recurring) จะเติบโตได้ในระดับตัวเลขหลักเดียวกลาง ๆ ถึงปลาย ๆ (mid-to-high single digit) โดยธนาคารจะยังคงมุ่งเน้นการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียม จากการขายประกันผ่านช่องทางธนาคาร (Bancassurance) และธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง ซึ่งคาดว่าจะมีการเติบโตแม้ว่าจะชะลอลงจากผลกระทบของการแพร่ระบาดระลอกที่ 2
สำหรับด้านการบริหารต้นทุน ธนาคารจะบริหารต้นทุนค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวดและกำหนดเป้าหมายอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ ให้ลดลงสู่ระดับกลางถึงล่างของ 40% (low-to-mid 40s) ถึงแม้รายได้อยู่ภายใต้ความกดดัน อย่างไรก็ตาม การควบคุมค่าใช้จ่ายนี้จะไม่กระทบค่าใช้จ่ายสำหรับการลงทุนใหม่ ๆ และการเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจของธนาคาร
ในส่วนของคุณภาพสินทรัพย์ ธนาคารมีแนวทางการบริหารจัดการและรับรู้สินเชื่อด้อยคุณภาพอย่างรอบคอบควบคู่ไปกับกลยุทธ์การรักษามูลค่าสินทรัพย์ในระยะยาว ดังนั้น ธนาคารคาดว่าสินเชื่อด้อยคุณภาพจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 4.0-4.5% ในปี 2564 ทั้งนี้ การตั้งสำรองจะยังคงอยู่ในระดับสูงแต่ไม่เกินกว่า 2% ตลอดปี 2564 ดังนั้น ธนาคารคาดว่าระดับสำรองได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในปี 2563 ทั้งนี้ ระดับสำรองที่แท้จริงอาจมีการปรับเปลี่ยนไปตามการฟื้นตัวของสภาพเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ธนาคารจะยังคงรักษาระดับอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพอย่างน้อยที่ 130% เพื่อรองรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการแพร่ระบาดและการสิ้นอายุของโครงการช่วยเหลือ
นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า แม้ว่ากำไรสุทธิในปีที่ผ่านมาได้รับแรงกดดันจากการตั้งสำรองที่สูงขึ้น แต่ผลประกอบการจากธุรกิจหลักของธนาคารยังคงแข็งแกร่งและเงินกองทุนของธนาคารยังอยู่ในระดับสูง ตั้งแต่การเริ่มแพร่ระบาดของโควิด-19 ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้าผ่านโครงการช่วยเหลือทางการเงินในด้านต่างๆ ไปแล้วมากกว่าหนึ่งล้านราย ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลัง ลูกค้าที่ได้รับความช่วยเหลือได้ทยอยออกจากโครงการทำให้ยอดสินเชื่อภายใต้โครงการช่วยเหลือทางการเงินลดลงเป็นอย่างมาก ณ สิ้นปี 2563 มียอดรวมอยู่ที่ประมาณ 402,000 ล้านบาท หรือ 18% ของยอดสินเชื่อรวมของธนาคาร
สำหรับปี 2564 การแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ในประเทศทำให้ทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังคงมีความไม่แน่นอนสูง แม้ว่าจะมีพัฒนาการในการเริ่มฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ก็ตาม ดังนั้นธนาคารจะยังคงมุ่งให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบเพื่อให้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ และธนาคารยังคงมุ่งมั่นในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องโดยการพัฒนาธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี การขยายฐานรายได้จากธุรกิจการขายผลิตภัณฑ์ประกันผ่านธนาคารและธุรกิจการบริหารความมั่งคั่ง และการปรับเปลี่ยนองค์กรเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มศักยภาพ