HoonSmart.com>> “อิออน ธนสินทรัพย์” เปิดงบไตรมาส 3/63 กำไรสุทธิ 1,009 ล้านบาท โต 2% จากงวดปีก่อน ผ่อนคลายล็อกดาวน์หนุนลูกค้าใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพิ่ม งวด 9 เดือนกำไรสุทธิ 2,506 ล้านบาท ลดลง 14% ตั้งสำรองเพิ่ม ราคาหุ้นพุ่ง 13%
บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) หรือ AEONTS เปิดเผยผลการดำเนินงานงวดไตรมาสที่ 3 สิ้นสุดวันที่ 30 พ.ย.2563 กำไรสุทธิ 1,009.45 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 4.04 บาท เพิ่มขึ้น 2% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 990.78 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 3.96 บาท
ส่วนงวด 9 เดือน ปี 2563 กำไรสุทธิ 2,506.03 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 10.02 บาท ลดลง 14% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 2,919.64 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 11.68 บาท
ในงวดไตรมาส 3/63 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของรายได้หนี้สูญรับคืนและบริษัทฯ สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งการผ่อนคลายมาตรการปิดเมืองทั้งในและต่างประเทศที่ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาดำเนินการได้มากขึ้น
ขณะที่งวด 9 เดือนกำไรสุทธิลดลงจากการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 1 เพื่อรองรับปัจจัยความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต เนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมีผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 5,327 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ไตรมาส 3/2563 มีผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 1,345 ล้านบาท ลดลง 25% จากงวดเดียวกันของปีก่อนและ 15% จากไตรมาสก่อน คิดเป็นอัตรา Net Credit Cost ที่ 6.6% ลดลงจาก 7.6% ในไตรมาส 3/2563 เนื่องจากบริษัทใช้นโยบายด้านสินเชื่อที่ระมัดระวังมากยิ่งขึ้น
ณ วันที่ 30 พ.ย.2563 บริษัทฯ และบริษัทย่อยได้ตั้งสำรองค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 11,816 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 13.3% ของยอดลูกหนี้การค้ารวม เพิ่มขึ้นจาก 3,962 ล้านบาท หรือ 4.39% ของยอดลูกหนี้การค้ารวม ณ สิ้นปีบัญชีก่อน เนื่องจากเป็นไปตามโมเดลการตั้งสำรองตามมาตรฐานรายงานทางการเงินใหม่ ฉบับที่ 9 (TFRS 9) โดยคำนวณจากผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต (Expect Credit Loss) และปัจจัยความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้ NPL ของงบการเงินรวมต่อลูกหนี้ทั้งหมด (NPL ratio) คิดเป็น 4.51% ของลูกหนี้การค้ารวม และ NPL ของงบการเงินเฉพาะกิจการคิดเป็น 4.28% ของลูกหนี้การค้ารวม เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน เนื่องจากลูกค้าบางส่วนที่ได้รับการพักชำระหนี้ในเดือนเม.ย.2563 ได้ค้างชำระต่อเนื่องเกิน 3 เดือนในไตรมาสที่ 3/2563 อีกทั้งการเริ่มตั้งสำรองตาม IFRS 9 ของบริษัทย่อยในต่างประเทศ
ทั้งนี้้อัตราส่วนค่่าเผื่อผลขาดทุนจากการด้อยค่าต่อสินเชื่อไม่ก่อให้เกิดรายได้ของบริษัทฯ (NPL Coverage ratio) ในไตรมาสที่ 3/2563 อยู่ที่ 296% ของงบกำรเงินรวม และคิดเป็น 310% ของงบกำรเงินเฉพาะกิจการ
ด้านรายได้รวมงวด 9 เดือนมีจำนวน 16,297 ล้านบาท ลดลง 839 ล้านบาท หรือ 5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ไตรมาส 3/2563 บริษัทฯ มีรายได้จากงบการเงินรวมจำนวน 5,257 ล้านบาท ลดลง 128 ล้านบาท หรือ 2% จากไตรมาสก่อน และ 12% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 และภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าจากบัตรเครดิต และสินเชื่อยัวร์แคช
ในขณะที่การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อน เป็นผลจากการบริโภคภายในประเทศ เช่น การซื้อสินค้าผ่านทางซุปเปอร์มาร์เก็ตและช่องทางออนไลน์ และการท่องเที่ยว อีกทั้งธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตลงจาก 18% เหลือ 16% ต่อปีและลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคลลงจาก 28% เหลือ 25% ต่อปี ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.2563 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ตามรายได้อื่นจากหนี้สูญรับคืนของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 19% จากปีก่อน และรายได้จากบริษัทย่อยในต่างประเทศเพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อน
ด้านราคาหุ้น AEONTS ปิดที่ 227 บาท เพิ่มขึ้น 27 บาท คิดเป็น 13.50% มูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 1,991 ล้านบาท