HoonSmart.com>> “บลจ.กสิกรไทย-ไทยพาณิชย์” ประเมินหุ้นไทยปี 64 ได้อานิสงส์ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ เอเชีย หนุนหุ้นบิ๊กแคป แนะจัดพอร์ตกระจายลงทุนต่างประเทศ เน้นตลาดเอเชีย-จีน รับมือโควิด-19 ยังกดดันการลงทุน ด้านบลจ.ทหารไทยชี้หุ้นไทยแกร่ง Laggard ตลาดเอเชีย
นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส รองกรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ เปิดเผย HoonSmart.com>> ว่า บลจ.ไทยพาณิชย์มองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปี 2564 ที่ระดับ 1,600 จุด ปัจจัยสนับสนุนจากฟันด์โฟลว์ที่คาดว่าจะไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชียจากแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยได้อานิสงส์จากเงินลงทุนต่างชาติและหุ้นบิ๊กแคปก็จะได้ประโยชน์
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจโลกน่าจะฟื้นตัวขึ้นได้ในครึ่งปีหลัง จากการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐฯ และธนาคารกลางทั่วโลก รวมทั้งนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย อัตราดอกเบี้ยอยู่ระดับต่ำและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ชุดใหม่วงเงิน 9 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ประกอบกับสภาพคล่องทั่วโลกที่อยู่ในระดับสูง ทำให้มองว่าเงินยังไหลเข้าตลาดหุ้น
ในส่วนของเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะค่อยๆ ฟื้นตัวได้เช่นกัน ซึ่งในแต่ละภาคธุรกิจฟื้นตัวได้แตกต่างกันไปและยังคงต้องติดตามการแพร่ระบาดของโควิด-19
“ฟันด์โฟลว์ยังมีแนวโน้มไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชีย ตลาดหุ้นเกิดใหม่ต่อเนื่อง ส่วนหุ้นจีนปี 2563 ปรับตัวขึ้นมาระดับหนึ่ง แต่เรามองระยะยาวยังเติบโตได้ดี ส่วนหุ้นไทยจะได้อานิสงส์จากเงินไหลเข้า ซึ่งจากการพูดคุยกับโบรกเกอร์ต่างประเทศก็สนใจภูมิภาคเอเชีย สำหรับตลาดหุ้นไทยมองหุ้นปิโตรเคมี กลุ่มพลังงานน่าจะฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก รวมถึงหุ้นบิ๊กแคปที่เป็นเป้าหมายของต่างชาติ ส่วนกลุ่มแบงก์ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากหนี้เสีย หลังเกิดโควิดระบาดระลอกใหม่และมาตรการภาครัฐผ่อนปรนการชำระหนี้ลูกหนี้ ส่วนกลุ่มท่องเที่ยวอาจยังได้รับผลกระทบจากโควิดแพร่ระบาด”นางนันท์มนัส กล่าว
สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามคือการแพร่ระบาดของโควิด-19 และท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลต่อการลงทุน จึงแนะนำนักลงทุนจัดพอร์ตกระจายลงทุน เพื่อลดความเสี่ยง โดยให้น้ำหนักในตลาดหุ้นเอเชีย จีน ส่วนหุ้นสหรัฐฯ ปีที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นมามาก จึงแนะนำให้ลูกค้าขายทำกำไรออกไปบางส่วนและยังลงทุนติดพอร์ตได้ ส่วนหุ้นยุโรปและญี่ปุ่นยังไม่น่าสนใจ
“ปี 64 หุ้นคงผันผวนเหมือนปีที่ผ่านมา ตามข่าววัคซีนและเฟด กลยุทธ์การบริหารกองทุนของเราคงต้องเฟ้นหาหุ้นมากขึ้น รวมถึงหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก New Economy เช่น มีแผนลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งจะเพิ่มมูลค่าให้แก่หุ้นได้”นางนันท์มนัส กล่าว
ด้านนายสุรเดช เกียรติธนากร กรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมีทิศทางที่ดีขึ้น ภายใต้ความคาดหวังต่อการพัฒนาวัคซีนที่น่าจะได้ใช้กันในวงกว้างกลางปี 64 อีกทั้งแนวโน้มการค้าโลกที่น่าจะดีขึ้นจากนโยบายของนายไบเดน โดยตัวเลขเศรษฐกิจโลกบ่งชี้การฟื้นตัวในภาคการผลิตและภาคการบริโภค ส่วนภาคบริการยังถูกกดดันจากสถานการณ์โควิดโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว
“ตลาดหุ้นโลกจะยังมีความผันผวนต่อเนื่อง โดยปัจจัยหนุนจากสภาพคล่องที่ล้นระบบในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงยังคงปกคลุมสูง อาทิ สถานการณ์โควิดที่จำนวนผู้ติดเชื้อยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และปัจจัยทางการเมืองอย่าง Brexit ที่มีแนวโน้มจะจบแบบ No-Deal อย่างไรก็ดี หุ้นยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจกว่าในเชิงเปรียบเทียบ จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินและการคลัง อัตราดอกเบี้ยที่คาดว่ายังอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีกจนทำให้เกิดภาวะนักลงทุน Search for Yield อีกทั้งแนวโน้มพัฒนาไปในเชิงบวกจากการประสบความสำเร็จในการผลิตวัคซีน”นายสุรเดช กล่าว
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 2564 มีปัจจัยหนุนจากการเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจ มองว่าประเทศไทยจะยังเผชิญความท้าทายแต่คาดหวังว่าจะสามารถคุมโควิด-19 ได้ รวมถึงแนวโน้มการไหลเข้าของกระแสเงินทุนจากต่างชาติในตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียรวมถึงตลาดหุ้นไทยซึ่งนักลงทุนต่างชาติได้ลดน้ำหนักการลงทุนมาต่อเนื่องกว่า 5 ปี โดยมองเป้า ดัชนีหุ้นไทยที่ประมาณ 1,550-1,600 จุด
กลุ่มอุตสาหกรรมและธุรกิจที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ ได้แก่ หุ้นกลุ่มที่มีมีศักยภาพในการฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ เน้นเลือกในกลุ่มธนาคารพาณิชย์, พลังงานและปิโตรเคมี,โรงแรม, ธุรกิจการแพทย์ หุ้นเติบโตอย่างมีคุณภาพ ได้แก่ กลุ่มสาธารณูปโภค กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มยานต์และขนส่ง กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์
อย่างไรก็ตามสถานการณ์การลงทุนยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง ผู้ลงทุนยังควรใช้ความระมัดระวัง (Cautious และ Selective) ในการลงทุนและการกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ต โดยแนะนำ K-GINCOME, K-GINCOME-SSF เป็นพอร์ตหลัก และ K-CHINA , KCHINARMF เป็นพอร์ตเสริม โดยยังมีมุมมองบวกต่อหุ้นจีน
ด้านบลจ.ทหารไทย มองการลงทุนปี 2564 ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยถือว่ามีเสถียรภาพเมื่อเทียบกับภูมิภาคเอเชีย แต่มีจุดเสียเปรียบคือ มีกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็น New Economy หรือเป็นกลุ่มที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ในสัดส่วนที่ยังไม่มากนัก นอกจากนี้ จะเริ่มเห็นการปรับประมาณกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับปัจจัยด้านเศรษฐกิจและการค้าโลกที่เริ่มฟื้นตัวจากนโยบายทางการค้าของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
อีกทั้งจากปัจจัยที่สนับสนุนและปัจจัยกดดันทำให้ประเมินตลาดหุ้นไทยให้อยู่ในกลุ่ม Tactical Asset Allocation (TAA) คือ เป็นการแนะนำลงทุนตาม Sentiment ของ Fund Flow ที่ไหลเข้ามายังเอเชีย รวมถึงไทยที่ยังคง Laggard หุ้นในกลุ่ม Emerging ด้วยกัน
อย่างไรก็ตามมองว่าจากการผ่อนคลายนโยบายการเงินของสี่ธนาคารกลางขนาดใหญ่ในโลก ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่นและจีน สภาพคล่องที่ล้นระบบอย่างสถานการณ์ปัจจุบันที่เป็นอยู่ เงินบางส่วนจะไหลเข้าสินทรัพย์ลงทุน โดยมองหาสินทรัพย์ที่น่าสนใจอย่างเช่น ธีมเศรษฐกิจฟื้นตัว เม็ดเงินนอกจากส่วนที่อยู่ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ก็จะไหลมาทางกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ด้วยเช่นกัน ซึ่งในส่วนของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ก็จะเลือกลงทุนในกลุ่มที่ระดับ Valuation น่าสนใจ หรือกรณีที่ Valuation แพงกว่าเล็กน้อย แต่มีพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกว่าโดยเปรียบเทียบก็จะสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนบางส่วนได้
“ผู้ลงทุนที่มีการลงทุนในสัดส่วนหุ้นไทยแล้ว แนะนำให้ถือการลงทุนต่อเนื่องไปก่อน เพื่อรับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและ Sentiment จากเงินทุนที่ไหลเข้า แต่การลงทุนโดยรวมอยากให้ผู้ลงทุนมีการจัดพอร์ตกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่ได้เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน ควรมีการกระจายการลงทุนไปในกลุ่มกองทุนหุ้นทั่วโลก ทั้งหุ้นกลุ่มนวัตกรรม หุ้นคุณภาพ หุ้นเอเชีย หุ้นจีน ตราสารหนี้ทั่วโลก และสินทรัพย์ทางเลือก โดยลงทุนแต่ละสินทรัพย์ให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และเป็นการทยอยเข้าลงทุนในช่วงที่ดัชนีมีการย่อตัว”บลจ.ทหารไทย ระบุ
อ่านข่าว