HoonSmart.com>>นักลงทุนตบหุ้นใหญ่ปลายตลาด ดัชนีพลิกจากบวกเป็นติดลบ 8 จุด ลุ้นมาตรการล็อกดาวน์ ต่างชาติเริ่มกลับมาขาย 705 ล้านบาท สถาบันไทยทำกำไรต่อ ด้าน “ท่าอากาศยานไทย” ช่วยเหลือผู้ประกอบการเพิ่ม กระทบรายได้ปี 64-65 กนง.คงดอกเบี้ย 0.5% ตามคาด ปรับ GDP ปีนี้ หดตัวแค่ 6.6% ปีหน้า +3.2% ส่งออกพ.ย. -3.65% พาณิชย์หวังทั้งปีหดตัวไม่ถึง 7% ค่ายกสิกรไทยเตือนอย่าชะล่าใจ โนมูระฯ มองหุ้นเอเชียเป็นเป้าลงทุนต่างชาติปี 64 แนะถือหุ้นไทย 40-45% ชี้เป้า 1,650 จุด ชูตัวเด่น SCC, SCGP, PTT, TOP ,GULF, KCE SAWAD, CPALL, CENTEL ส่วนหุ้นขนาดกลาง-เล็ก แนะ VNT, GFPT, SNC
ตลาดหุ้นวันที่ 23 ธ.ค. ดัชนีเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงแรงร่วม 26 จุด จากระดับสูงสุด 1,440.52 จุด และทรุดลงไปต่ำสุด 1,414.21 จุด ปิดที่ 1,416.02 จุดรูดลง -8.37 จุดหรือ-0.59% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 89,556.24 ล้านบาท สถาบันไทยทิ้งต่อเป็นวันที่สาม -1,328.95 ล้านบาท ส่วนต่างชาติกลับมาขาย-705.58 ล้านบาท และนักลงทุนไทยยืนเก็บ 1,971.78 ล้านบาท
สาเหตุที่ตลาดหุ้นวันนี้เคลื่อนไหวผิดปกติ โดยเฉพาะช่วงปลายตลาดจากยืนบวก 1 จุด แต่กลับปิดไหลลง 8.37 จุด มีแรงขายหุ้นขนาดใหญ่ เช่น DELTA ราคายืนที่ระดับ 444 บาท แต่ปิดที่ 420 บาท แม้ว่ายังเพิ่มขึ้นจากวันก่อน 42 บาทหรือ 11% ก็ตาม เช่นเดียวกับธนาคาร KBANK ปิดที่ 112.50 บาท -2.50 บาทหรือ -2.17% ขายเพื่อลดความเสี่ยง ตลาดลุ้นล็อกดาวน์ทั้งประเทศ นายกรัฐมนตรีนัดประชุมศบค.ชุดใหญ่ วันที่ 24 ธ.ค. เวลา 09.30 น. จะต้องมีมาตรการออกมาหลังจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ลุกลามไปมากกว่า 20 จังหวัด ขณะเดียวกันราคาหุ้นขนาดใหญ่ก็ขึ้นมามาก จนหลายตัวสูงกว่าปัจจัยพื้นฐานแล้ว
บริษัทท่าอากาศยานไทย (AOT) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการบริษัทฯว่ามีมติเพิ่มมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการและสายการบินที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 แพร่ระบาดยังมีความรุนแรงและต่อเนื่องในหลายประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.2564 – 31 มี.ค.2565 อาทิ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานเชียงใหม่ ปรับลดค่าผลประโยชน์ตอบแทนคงที่อัตรา 20%
ทั้งนี้มาตรการเดิมคาดว่าในปี 2564 จะมีรายได้ลดลงจากปีงบประมาณ 2563 อัตรา 42.35% และในปี 2565 จะมีรายได้เพิ่มขึ้น 188.12% ซึ่งมาตรการที่เพิ่มรอบนี้ คาดว่ารายได้ในปีงบประมาณ2564 ลดลงอีก 0.006% และในปีงบประมาณ 2565 มีรายได้ลดลง 0.001% จากที่ประมาณการไว้เดิม
นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส เลขานุการ กนง. กล่าวว่า คณะกรรมการฯ มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ประเมินว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ยังมีความเสี่ยงด้านต่ำและความไม่แน่นอนสูงในระยะข้างหน้า จึงยังต้องการแรงสนับสนุนจากดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง
คณะกรรมการฯ รักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงินที่มีจำกัด เพื่อใช้ในจังหวะที่เหมาะสมและเกิดประสิทธิผลสูงสุด
ทั้งนี้ กนง.คาดว่าเศรษฐกิจจะหดตัว -6.6% ในปี 2563 ดีกว่าที่ประเมินไว้เดิม และกลับมาขยายตัว 3.2% ในปี 2564 และ 4.8% ในปี 2565
กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยตัวเลขส่งออกเดือนพ.ย.หดตัว 3.65% ดีกว่าเดือนต.ค. แต่ลดลงมากกว่าที่คาด รวมทั้งปีนี้หดตัวไม่ถึง 7% และปี 2564โต 4%
ธนาคารกสิกรไทยรายงานการส่งออกไทยเดือนพ.ย.หดตัวน้อยกว่าเดือนก่อน แต่การฟื้นตัวจะยังเผชิญความท้าทายรอบด้าน 4 เรื่อง คือ 1.การระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงขึ้นในหลายประเทศ2. แนวโน้มเงินบาทแข็งค่า 3.โครงสร้างสินค้าส่งออกฟื้นตัวช้ากว่าภูมิภาค 4.ตู้คอนเทนเนอร์ที่ขาดแคลนและราคาขนส่งทางทะเลสูงขึ้น
ด้านบล.โนมูระพัฒนสิน มองว่าเอเชียจะเป็นเป้าหมายการลงทุนในปี 2564 จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว จาก -2% สู่ +7.7% โดดเด่นกว่าประเทศพัฒนาแล้วที่ -5.3% แต่ฟื้นราว 3.7% แต่ไทยฟื้นตัวช้ากว่า อย่างไรก็ตามนักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาซื้อเพิ่มหลังจากขายออกไปมาก จึงแนะนำให้น้ำหนักหุ้นไทย 40-45% ของพอร์ต
หุ้นเด่น แนะนำหุ้นที่ได้ผลบวกจากวงจรเศรษฐกิจโลก/ พลังงานสะอาด /วงจรขาขึ้นของเทคเอเชีย/การฟื้นตัวของการค้าโลก โดยมี SCC, SCGP, PTT, TOP เป็นตัวแทน GULF & KCE เป็นตัวแทนของ EV/HEV ที่เติบโตระยะยาวจากการลดการใช้พลังงานฟอสซิล SAWAD การปรับโครงสร้างพอร์ตรายได้หนุนการเติบโตระยะยาว และได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยต่ำ CPALL & CENTEL เป็นหุ้นได้ประโยชน์จากการกระจายวัคซีนปลายปี 2564 และราคายัง Laggard ส่วนหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กแนะนำ VNT (วงจร PVC ขาขึ้น) GFPT (ตัวแทนของกลุ่มโปรตีนที่จะเด่นทั้ง Volume & ราคาขาย) และ SNC