MTC กำไร 1,339 ลบ. ออลไทม์ไฮโต 24% ไตรมาส 3/63

HoonSmart.com>>”เมืองไทย แคปปิตอล” เปิดผลงานสวยงาม ไตรมาส 3/63 กำไรพุ่งแตะ 1.34 พันล้านบาท ออลไทม์ไฮ รายได้รวม 3,737 ล้านบาท โต 13% แซงหน้าค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น 7.35% ขยายสาขาเพิ่ม ดูแลคุณภาพหนี้ พอร์ตสินเชื่อทะลัก 6.7 หมื่นล้านบาท ประเมินโค้งสุดท้ายปีนี้สัญญาณดี มั่นใจคุม NPLไม่เกิน 2% ลุ้นผลงานปีนี้ทะลุเป้าหมายโต 20-25%

บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) เปิดเผยผลงานงวดไตรมาสที่ 3/2563 มีกำไรสุทธิ 1,339.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 260 ล้านบาทคิดเป็น 24.07%จากช่วงเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 35.87%

ส่วนผลงานรวม 9 เดือนแรกปีนี้ มีกำไรทั้งสิ้น 3,843.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 737.32 ล้านบาท โตขึ้น 23.73% จากที่มีกำไรสุทธิ 3,106.55 ล้านบาทในช่วงเดียวกันปีก่อน

ในไตรมาส 3/2563 กำไรที่ดีขึ้นมาจากรายได้รวม 3,737 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 433 ล้านบาทหรือ 13.10% ขณะที่มีค่าใช้จ่ายในการบริการและบริหารจำนวน 1,533 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105 ล้านบาทหรือ 7.35% โดยค่าใช้จ่ายหลักที่เพิ่มขึ้นเป็นค่าเสื่อมราคาจากสิทธิการใช้สินทรัพย์ตามมาตรฐานรายงานทางการเงินฉบับที่ 16 และเงินเดือนพนักงาน จากการขยายสาขาและบุคลากรประจำสาขา ณ วันที่ 30 ก.ย. 2563มีสาขาจำนวน 4,798 สาขา  เพิ่มขึ้น 691 สาขาจากสิ้นปี 2562

ด้านคุณภาพหนี้ อัตราส่วนหนี้เสียอยู่ที่ 1.01% เทียบกับ วันที่ 30 ก.ย. 2562 อยู่ที่ 0.98% และสิ้นปี 62 อยู่ที่ 1.03% อัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้น 2.77 เท่า

นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 3/2563 มีกำไรสุทธิ 1,340 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.07% จากงวดเดียวกันปีก่อนและยังคงทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมียอดสินเชื่อคงค้าง 66,995 ล้านบาท เพิ่มขึ้น คิดเป็น 16.22% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 57,647 ล้านบาท พอร์ตสินเชื่อเติบโตได้ดีเนื่องจากความต้องการฟื้นตัวหลังเข้าสู่การเปิดเทอมใหม่ และฤดูเก็บเกี่ยวของเกษตรกร ขณะที่คุมต้นทุนการเงินได้ดี เดินหน้าเพิ่มสาขาเป็น 4,798 สาขา ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทฯมีรายได้สุทธิอยู่ที่ 10,842 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.43% จากงวดเดียวกันปีก่อนมีรายได้สุทธิเท่ากับ 9,233 ล้านบาท

“ภาพรวมผลการดำเนินงาน 9 เดือนของปี 2563 จะเห็นว่าการเติบโตของสินเชื่อยังมีความแข็งแกร่งและฟื้นตัวจากไตรมาสที่ 2 ที่เป็นช่วง Lockdown และมีมาตรการช่วยเหลือจากทางภาครัฐออกมามากมาย โดยสินเชื่อขยายตัว 6.05% จากไตรมาสก่อน ทั้งนี้ เรามองว่าการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อเป็นไปอย่างแข็งแกร่งและมีคุณภาพ เนื่องจากเป็นการเติบโตฐานลูกค้าจักรยานยนต์เป็นหลัก ด้วยอุปสงค์ที่ฟื้นตัวจากการเปิดเทอมใหม่ ฤดูกาลเก็บเกี่ยวของเกษตรกร และการปรับตัวของกลุ่มลูกค้าที่เราเชื่อว่ามีความยืดหยุ่นสูง และสิ่งที่สำคัญคือการที่ MTC สามารถขยายเครือข่ายสาขาเพิ่มขึ้นเป็น 4,798สาขา ทำให้มีโอกาสทางธุรกิจมากขึ้นในแง่ของ Economy of scale รวมทั้งมีการควบคุมต้นทุนทางการเงินทำได้ดีต่อเนื่อง เราจึงสามารถรักษา Spread ให้คงที่ได้” นายชูชาติกล่าว

สำหรับกลยุทธ์ช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ บริษัทฯยังคงจะมุ่งเน้นไปที่ 3 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย การจัดการต้นทุนทางการเงิน ซึ่งจะช่วยรักษา Spread ให้คงที่ โดยเงินทุนใหม่ของบริษัทฯ บางส่วนมาจากเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และบางส่วนมาจากการออกหุ้นกู้มีต้นทุนที่ถูกลงกว่าหุ้นกู้เดิม และคาดว่าต้นทุนทางการเงินของบริษัทฯภายหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ จะไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราผลตอบแทนของตลาดพันธบัตรที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นแต่อย่างใด เนื่องจากความต้องการในการลงทุนในบริษัทฯที่มีเรตติ้ง BBB+ ในประเทศจะเพิ่มสูงขึ้น ทำให้บริษัทฯ คาดหวังว่า ต้นทุนทางการเงินในช่วงปลายปีนี้จะไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าว

ขณะที่การคุมคุณภาพสินทรัพย์ ซึ่งรวมถึงการตั้งสำรองตามมาตรฐานบัญชีฉบับที่ 9 (TFRS9) ให้เหมาะสม และเพียงพอต่อความเสี่ยงด้านคุณภาพหนี้ โดยจะคุมหนี้เสียไว้ไม่เกินระดับ 2% ตามเป้าที่วางไว้ก่อนหน้านี้ ตลอดจนการเร่งผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อยกระดับ Customer Experience เพื่อช่วยสนับสนุนการเติบโตในระยะยาวและเพื่อสร้าง Competitive Edge เพื่อรองรับการแข่งขันที่สูงขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ในการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนของบริษัทฯ ที่สำคัญ

นอกจากนี้ล่าสุด การที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)ประกาศรายชื่อหุ้นยั่งยืน หรือ Thailand Sustainability Investment (THSI) ประจำปี 2563 ซึ่ง MTC เป็น 1 ในหุ้น ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่รายชื่อหุ้นยั่งยืน 124 บริษัทและเป็นการติดอันดับ 2 ปีซ้อนต่อเนื่อง ทั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจของบริษัทฯที่ให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ได้มองเฉพาะเรื่องของกำไรเพียงอย่างเดียว โดยให้ความสำคัญกับการคำนึงถึงสังคม สิ่งแวดล้อม และบรรษัทภิบาล (ESG) ในกระบวนการดำเนินงานมากขึ้นด้วย