หุ้นไทยไกล “ตลาดหมี” ชู 6 หุ้นเด่นรอ “ฟันด์โฟลว์” กลับ

ตลท.ชี้ตลาดหุ้นไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะตลาดหมี ระบุวอลุ่มยังสูงลิ่ววันละ 6 หมื่นล้าน ด้านประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนฯ แนะลงทุนหุ้น “ค้าปลีก-แบงก์” ลดความเสี่ยงสงครามการค้าโลก ขณะที่สมาคมนักวิเคราะห์ชู 6 หุ้นเด่น รอต่างชาติซื้อกลับ “ADVANC-AOT-BBL-PTT-SCC-CPALL”

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยในการเสวนา “จะลงทุนอย่างไรในตลาด Bear Market” โดยระบุว่า ขณะนี้ตลาดหุ้นไทยไม่ได้เข้าสู่ภาวะตลาดหมี ส่วนดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯที่ลดลงมา 14% ก่อนหน้านี้ ถือเป็นการลดลงตามปกติ เนื่องจากเงินทุนไหลออกจากประเทศตลาดเกิดใหม่ รวมทั้งมีความกังวลว่าการส่งออกไทยจะได้รับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ยังไม่มีความชัดเจน

“ดอกเบี้ยขึ้นไม่ได้บอกว่าจะเป็นตลาดหมีเสมอไป เพราะดอกเบี้ยขึ้น ตลาดหุ้นก็ขึ้นได้ แต่ถ้าเศรษฐกิจถดถอยและหุ้นตกเกิน 20% และกำไรของบริษัทไม่โต อย่างนี้โอกาสเข้าสู่ตลาดหมีจะเยอะ ซึ่งตอนนี้ไม่ใช่ หุ้นตกไปเพียง 14% และตอนนี้เหลือ 9% แล้ว เศรษฐกิจไทยและกำไรบริษัทจดทะเบียนยังเติบโตได้อย่างน้อยอีก 2 ปี สภาพคล่องในประเทศสูง เงินต่างชาติมีโอกาสไหลเข้ามากกว่าไหลออก ดังนั้น โอกาสเกิดตลาดหมีใหญ่ๆถือว่าน้อยมาก”นายไพบูลย์ระบุ

นายไพบูลย์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยอยู่ในยุคที่สภาพคล่องจากต่างประเทศถูกดูดออกจากระบบไปแล้ว ดังนั้น นักลงทุนต้องระมัดระวังการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีพี/อีสูง เพราะโอกาสที่นักลงทุนจะยอมจ่ายแพงเพื่อซื้อหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กในราคาสูงๆจะไม่ได้เห็นอีกแล้ว ส่วนหุ้นที่น่าลงทุนเพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้าโลก ได้แก่ หุ้นกลุ่มค้าปลีก เนื่องจากกำลังซื้อในประเทศยังสูงอยู่ และหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เพราะราคาลงไปมากแล้ว

“ช่วงขายหนักๆได้ผ่านไปแล้ว และยังไม่เป็นตลาดหมีตามนิยมของผม ซึ่งตอนนี้ทุกคนกำลังมองว่าตลาดจะฟื้นเมื่อไหร่มากกว่า”นายไพบูลย์กล่าว

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า มูลค่าการซื้อขายหุ้นที่เฉลี่ย 6 หมื่นล้านบาทต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่เฉลี่ย 5.5 หมื่นล้านบาทต่อวัน สะท้อนได้ว่าตลาดหุ้นไทยตอนนี้ไม่ใช่ตลาดหมีแน่นอน ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงถือหุ้นไทยในสัดส่วน 30-31% ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยปกติ ส่วนการที่นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นออกมาก่อนหน้านี้เป็นการขายทำกำไรตามปกติ

“สภาพคล่องของตลาดยังดีอยู่ แสดงว่าตลาดยังดีอยู่ ยังไม่ใช่ตลาดหมี”นายภากรกล่าว

นายภากร กล่าวว่า ในภาวะที่ตลาดหุ้นเป็นอย่างนี้ ตนเองมองว่ามีหุ้น 3 เซ็กเตอร์ที่น่าลงทุนและสามารถเผชิญกับภาวะตลาดที่ผันผวนได้ดี ได้แก่ 1.หุ้นของบริษัทที่มีลงทุนและค้าขายในกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งเศรษฐกิจเติบโตปีละ 7-8% หรือหุ้นกลุ่ม SETCLMV 2.หุ้นบริษัทที่มีการจ่ายปันผลสูงหรือหุ้นในกลุ่ม SETHD และ3.หุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ระดับโลกหรือหุ้นกินดีอยู่ดี เช่น AOT ,MINT ,BDMS ,TU และCPN เป็นต้น

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการและกรรมการผู้อำนวยการ สมาคมวิเคราะห์การลงทุน กล่าวว่า ในช่วง 1-2 เดือนจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวน เนื่องจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงอย่างไร ในขณะที่ดอกเบี้ยในประเทศที่กำลังจะขึ้น และการเลือกตั้งมีโอกาสเลื่อนออกไปจากเดือนก.พ.ปีหน้า ดังนั้น ในช่วงสั้นๆนักลงทุนต้องตั้งการ์ดสูง และรอจังหวะ รวมทั้งกระจายความเสี่ยงไปลงทุนอย่างอื่นด้วย อย่ากระจุกในหุ้นอย่างเดียว

“เวลาหุ้นขาลง หุ้นเล็กจะลงมาเยอะ และเมื่อฟันด์โฟลว์กลับมา เขาต้องจิ้มลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ ดังนั้น นักลงทุนควรทยอยลงทุนซื้อหุ้นกลุ่มนี้ ซึ่งมีโอกาสฟื้นได้เร็ว”นายสมบัติกล่าว

สำหรับหุ้นที่สมาชิกสมาคมนักวิเคราะห์ฯ แนะนำโดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน ได้แก่ ADVANC ,AOT ,BBL ,PTT ,SCC และ CPALL เป็นต้น

ตัวอย่างหุ้นที่สมาชิกสมาคมนักวิเคราะห์ฯแนะนำ