GULF วิ่งเข้าเป้า 1.5-1.7 แสนล.ปี 70 เงินทุนพร้อมลงทุน ปั๊มรายได้เพิ่มทุกปี

HoonSmart.com>>บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ตั้งเป้าหมายอีก 7 ปีข้างหน้า รายได้ทะยานขึ้นแตะ 1.5-1.7 แสนล้านบาท ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง และอาจจะถึงหลักชัยเร็วกว่าที่กำหนดไว้ได้ไม่ยากนัก

หากพิจารณาจากผลงานการเติบโตก้าวกระโดดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2560-2562) รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านเงินทุน และโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีอยู่ในมือแล้วร่วม 10 โครงการ ยังไม่นับรวมโครงการที่อยู่ระหว่างการเจรจาที่มีโอกาสสรุปภายในสิ้นปี 2563 อีกมาก

บริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2560 ซึ่งในปีนั้นยังมีรายได้ไม่ถึง 1 หมื่นล้านบาท แต่ในปีต่อมา กลับโตกว่าเท่าตัว เพิ่มขึ้นเป็น 20,229 ล้านบาท และปี 2562 วิ่งขึ้นมาถึง 34,552 ล้านบาท

ส่วนในปี 2563 ผ่านมา 6 เดือนทำได้ 16,778 ล้านบาท เติบโต 6% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้ 15,828 ล้านบาท แม้ว่าประเทศไทยและทั่วโลกกำลังเผชิญวิกฤตการณ์จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากก็ตาม

บล.บัวหลวงวิเคราะห์ว่า บริษัทกัลฟ์ฯยังจะสามารถเติบโตขึ้นอีก 1 เท่าตัว ในช่วง 3 ปีข้างหน้า (2563-2565) โดยคาดว่าจะมีรายได้รวม 29,410 ล้านบาท 53,164 ล้านบาท และ 58,802 ล้านบาทตามลำดับ ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 5,082 ล้านบาท 8,240 ล้านบาท และ 10,075 ล้านบาท

เช่นเดียวกับบล.ฟินันเซีย ไซรัส ก็คาดว่ากัลฟ์จะเติบโตก้าวกระโดด จากปีนี้จะมีรายได้รวม 28,887 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 33,800 ล้านบาท และ 81,268 ล้านบาท สนับสนุนให้มีกำไรสุทธิ 4,635 ล้านบาท 7,560 ล้านบาท 15,859 ล้านบาทตามลำดับ

กัลฟ์ยังสามารถเติบโตได้อีกมาก เพราะกลยุทธ์คือเน้นลงทุนในโครงการที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว ไม่ว่าจะเป็นภายในประเทศไทยหรือออกไปยังต่างประเทศ และที่สำคัญ บริษัทไม่ได้จำกัดการลงทุนเฉพาะในธุรกิจไฟฟ้าเท่านั้น ปัจจุบันได้ต่อยอดธุรกิจไปสู่โครงการสาธารณูปโภคอีกหลายโครงการ

ทั้งนี้ ณ เดือนก.ย.2563 บริษัทมีโรงไฟฟ้าทั้งหมด 37 แห่ง ภายใน 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย,เวียดนาม,โอมาน และเยอรมนี โดยมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมอยู่ที่ระดับ 5,944 เมกะวัตต์ (MW) หากคิดตามสัดส่วนการถือหุ้นจะอยู่ที่จำนวน 2,726 MW

“บริษัทตั้งเป้าภายในปี 2570 จะมีรายได้ 1.5-1.7 แสนล้านบาท จะต้องมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมอยู่ที่ระดับ 14,385 MW หรือคิดตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ประมาณ 8,098 MW คาดว่าต้องใช้เงินลงทุนมากกว่า 1 แสนล้านบาทในช่วง 5 ปีข้างหน้า”

กัลฟ์เตรียมแหล่งเงินทุนไว้พร้อม เพิ่มความสามารถในการลงทุนได้อีกมาก หลังจากประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้มูลค่ารวม 1 หมื่นล้านบาท และกำลังดำเนินการเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 10,666.5 ล้านบาท เป็น 11,733.15 ล้านบาท โดยการเสนอขายหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม จำนวน 1,066.65 ล้านหุ้น สัดส่วน 10 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ในราคาหุ้นละ 30 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 3.1 หมื่นล้านบาท

กัลฟ์เติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากการขายหุ้นกู้ ได้อัตราดอกเบี้ยต่ำ และนำเงินเพิ่มทุนส่วนหนึ่งไปซื้อหุ้น 50% ของโรงไฟฟ้าพลังงานลมในเยอรมนีขนาด 464.8 MW จะเริ่มรับรู้รายได้ปลายปีนี้ คาดว่าสร้างกำไรประมาณ 1,500-2,000 ล้านบาท/ปี

บริษัทฯ ยังได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ สำหรับการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) มาเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าบริษัท เชื่อว่าจะช่วยลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำลง และต่อยอดธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับก๊าซฯเพิ่มขึ้นในอนาคต

ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ก็เป็นไปตามแผนงาน อาทิ โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) ก๊าซธรรมชาติ 2 โครงการ กำลังผลิตรวม 2,650 MW (โรงไฟฟ้าศรีราชา) และ 326 MW (โรงไฟฟ้า DIPWP ในประเทศโอมาน) และโรงไฟฟ้าพลังงานลม Mekong ที่เวียดนาม 310 MW จะเริ่ม COD ตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ยังมีโครงการที่กำลังพัฒนา เช่น โรงไฟฟ้าปลวกแดง 2,650 MW จะเริ่ม COD ในปี 2566 โรงไฟฟ้าหินกอง 1,400 MW โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ 540 MW และโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติกำลังผลิต 326 MW ที่โอมานจะเริ่มจ่ายไฟเข้าระบบ

สำหรับโครงการสาธารณูปโภค ในปี 2563 จะมีความคืบหน้า อาทิ โครงการที่ร่วมทุนกับมิตซุยและโตเกียว เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าและน้ำเย็นในโครงการ One Bangkok เฟส 1 คาดว่าจะลงนามสัญญา EPC ภายในปีนี้ ด้านการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 และการพัฒนามอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) คาดจะลงนามสัญญา PPP ได้ในเร็วๆ นี้ ส่วนการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 จะเริ่มก่อสร้างช่วงต้นปีหน้า

ปัจจุบันบริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อและร่วมทุนอีกหลายโครงการ อาทิ การร่วมลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานเขื่อนที่ประเทศสปป.ลาว จำนวน 3 โครงการ ขนาดกำลังผลิตรวม 2,400 MW คาดว่าจะมีข้อสรุปในปลายปีนี้

บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี กางแผนโครงการลงทุนไม่ต่ำกว่า 10 โครงการ หากแล้วเสร็จตามแผนงานที่วางไว้ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดหรือมาร์เก็ตแคปคงจะเพิ่มขึ้นมากกว่าปัจจุบันที่อยู่ระดับ 3.3 แสนล้านบาทอย่างแน่นอน