HoonSmart.com>>ดาวโจนส์ดิ่งลงไป 600 จุด ก่อนเด้งขึ้นปิดลบ 159 จุด ได้แรงหนุนจากสภาพคล่อง นักลงทุนเปลี่ยนกลุ่มเล่น ขายทำกำไรกลุ่มเทคโนโลยี หันมาซื้อหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับวัฎจักรเศรษฐกิจทั้งกลุ่มพลังงาน กลุ่มวัสดุและกลุ่มการเงิน หลังจากจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนส.ค.สูงกว่าคาด แต่ยังสะท้อนว่าเศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้า
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) ปิดตลาดวันที่ 4 กันยายน 2563 ที่ 28,133.31 จุด ลดลง 159.42 จุด หรือ 0.56% หลังจากที่ร่วงไปกว่า 600 จุดระหว่างวัน ท่ามกลางการซื้อขายผันผวน จากแรงเทขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มอื่นที่ปรับตัวขึ้นมาก่อนหน้านี้ สลับกับแรงซื้อในกลุ่มที่ราคายังปรับตัวตามหลังตลาด ก่อนที่ตลาดจะปิดทำการในวันจันทร์นี้เนื่องในวันแรงงาน
ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 3,426.96 จุด ลดลง 28.10 จุด,-0.81%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,313.13 จุด ลดลง 144.97 จุด, -1.27%
นักวิเคราะห์ยูบีเอสโกลบอลเวลธ์เมแนจเม้นท์ มองว่า เป็นการทำกำไรต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามหุ้นยังได้รับแรงหนุนจากสภาพคล่องอันเกิดจากการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางและราคาที่ยังน่าสนใจ รวมทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังจากคลายล็อกดาวน์
ในเดือนส.ค.ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 7% และปรับตัวขึ้นอีก 2.3% ในช่วง 2 วันแรก
หุ้นกลุ่มบริการสื่อสารลดลง 1.9% หุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคลดลง 1.4% ส่วนหุ้นกลุ่มที่ถูกเทขายก่อนหน้าปรับตัวขึ้น โดยกลุ่มการเงินเพิ่มขึ้น 0.8% หุ้นอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 0.2% กลุ่มวัสดุเพิ่มขึ้น 0.1%
นักวิเคราะห์จาก อินดเพนเด้นท์ แอดไวเซอร์ อัลลิอันซ์ระบุว่า ตลาดยังอยู่ในช่วงขาขึ้น เพราะนักลงทุนเปลี่ยนกลุ่มเล่นด้วยการทำกำไรกลุ่มเทคโนโลยีและหันมาซื้อหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับวัฎจักรเศรษฐกิจทั้งกลุ่มพลังงาน กลุ่มวัสดุและกลุ่มการเงิน
ในช่วงแรกตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นจากข้อมูลการจ้างงานของกระทรวงแรงงาน โดยการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 1.4 ล้านตำแหน่ง สูงกว่า 1.2 ล้านตำแหน่ง ที่นักวิเคราะห์คาด แต่ยังสะท้อนว่าเศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้า เพราะลดลงจาก 1.73 ล้านตำแหน่งในเดือนก.ค.ส่วนอัตราการว่างงานลดลงจาก 10.2% เป็น 8.4% ชั่วโมงทำงานเพิ่มขึ้น 0.1 ชั่วโมงเป็น 34.6 ชั่วโมง
นักวิเคราะห์จาก ทีดี อเมริเทรด มองว่า การจ้างงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่องแม้จะเพิ่มอย่างช้าๆ แต่นักลงทุนต้องการเห็นตลาดแรงงานฟื้นตัวมากกว่านี้ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับภาวะตลาดในเดือนก.พ.
ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวนนำโดยกลุ่มเทคโนโลยีที่ลดลง 2.6% ขณะกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้น 1.6% ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการประกาศควบรวมกิจการของธนาคาร Caixabank กับ Bankia ในสเปน ซึ่งจะมีผลให้เป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ
หุ้น Caixabankเพิ่มขึ้น 14% หุ้น Banco de Sabadell เพิ่มขึ้น 12% หุ้น Commerzbank ในเยอรมนีเพิ่มขึ้น 9%
นักลงทุนเกาะติดข้อมูลเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจเยอรมนีสะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่อ่อนตัวลง โดยคำสั่งซื้อภาคการผลิตเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 2.8% จากที่เพิ่มขึ้น 28.8% ในเดือนมิ.ย. และต่ำกว่า 5% ที่นักวิเคราะห์คาด เมื่อเทียบรายปีคำสั่งซื้อลดลง 7.3% ส่วนคำสั่งซื้อใหม่เมื่อปรับฤดูกาลลดลง 8.2% เทียบกับเดือนก.พ. และคำสั่งซื้อในประเทศลดลง 10.2% คำสั่งซื้อต่างประเทศเพิ่มขึ้น 14.4%
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 361.93 จุด ลดลง 4.15 จุด , -1.13%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,799.08 จุด ลดลง 51.78 จุด, -0.88%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,965.07 จุด ลดลง 44.45 จุด,-0.89%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 12,842.66 จุด ลดลง 215.11 จุด ,-1.65%
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนต.ค.ลดลง 1.6 ดอลลาร์ หรือ 3.9% ปิดที่ 39.77 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนพ.ย.ลดลง 1.41 ดอลลาร์ หรือ 3.2% ปิดที่ 42.66 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
อ่านข่าว