HoonSmart.com>> หุ้นถูกถล่มยับเฉียดหลุด 1,300 จุด ปิดตลาดร่วง 21.44 จุด เงินบาทอ่อน 31.22 บาท แพนิคพบผู้ติดเชื้อในประเทศรายแรก ในรอบ 86 วัน ต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก 1 เดือนถึงสิ้นเดือนก.ย. แห่ขายกลุ่มท่องเที่ยวแน่น ต่างชาติทิ้งกว่า 4,000 ล้านบาท บล.ไทยพาณิชย์เตือนระวังเฟดเปิดผลประชุมเดือนก.ค. ลดอัดฉีดเงินเข้าระบบ แนะรอซื้อสะสมบริเวณ 1300 จุด บล.ทิสโก้ปรับเป้าดัชนีสิ้นปีเหลือ 1,400 จุด จากเดิม 1,440 จุด มองหุ้นไปต่อลำบาก
ตลาดหุ้นไทย 19 ส.ค.2563 ภาคบ่ายมีแรงขายออกมาอย่างหนักหน่วง ทุบดัชนีลงไปต่ำสุดที่ระดับ 1,301.97 จุด ก่อนปิดที่ 1,308.67 จุด -21.44 จุด หรือ -1.61% มูลค่าการซื้อขาย 57,283.62 ล้านบาท ด้านเงินบาทอ่อน ปิดที่ 31.22 บาท /ดอลลาร์
นักลงทุนต่างชาติขายหุ้น 4,026 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนไทยช้อน 3,040 ล้านบาทและสถาบันซื้อ 1,042 ล้านบาท
น.ส.จิตรา อมรธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดแพนิคในช่วงบ่าย หลังมีข่าวพบผู้ติดเชื้อโควิด -19 ในประเทศ ในรอบ 86 วัน สร้างความกังวลแก่นักลงทุน จึงเทขายหุ้นทั่วกระดาน โดยเฉพาะกลุ่มท่องเที่ยว แต่ดัชนียังไม่หลุดแนวรับจิตวิทยา 1,300 จุด โดยลงไปต่ำสุดแตะ 1,301.97 จุด ซึ่งมีแรงซื้อเข้ามารับคาดเป็นกองทุนในประเทศ ส่งสัญญาณดัชนีรีบาวด์ขึ้น
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นวันพรุ่งนี้ต้องติดตามผลการแถลงของรพ.รามา เกี่ยวกับผู้ติดเชื้อในประเทศ หากสามารถควบคุมหรือตรวจสอบย้อนหลังจากคนรอบข้างได้ ก็อาจสร้างความสบายใจให้แก่นักลงทุน หากยังไม่ทราบที่มาและต้องใช้เวลาตรวจสอบ อาจทำให้ตลาดกังวล ในขณะที่ปัจจัยต่างประเทศยังไม่มีปัจจัยบวกหนุน จึงมองแนวรับ 1,300 จุด แนวต้าน 1,320 จุด
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ยังยืนยันกลยุทธ์การลงทุนโดยเน้นกลุ่ม Domestic และ Defensive Play ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการจำเป็น ได้แก่ อาหารเครื่องดื่ม สื่อสาร โรงไฟฟ้า โรงพยาบาล อสังหาฯแนวราบ โดยหุ้นที่ชอบคือ CPF, TU, ADVANC, INTUCH, GULF, GPSC, CHG, BCH, AP และ SC
บล.ไทยพาณิชย์ออกบทวิเคราะห์วันนี้ คาดตลาดยังขาดปัจจัยหนุน ระวังรายงานประชุมเฟดเมื่อวันที่ 28-29 ก.ค.ที่ผ่านมา อาจลดนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน หลังจากเศรษฐกิจสหรัฐมีการฟื้นตัวแล้ว ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบต่อสินทรัพย์เสี่ยง
“กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ ให้ใช้การเก็งกำไรระยะสั้น ตลาดยังคงมีความผันผวน แนวโน้มหลักคงอยู่ในทิศทางขาลง รอซื้อสะสมบริเวณ 1,300 จุด”บล.ไทยพาณิชย์ระบุ
ด้านนายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ดัชนีในระยะสั้นจะแกว่งตัวในกรอบ 1,300-1,350 จุด ส่วนแนวโน้มถึงสิ้นปี 63 บล.ทิสโก้ปรับลดเป้าหมายลงจาก 1,440 จุด เป็น 1,400 จุด และปรับเป้าปีหน้าลงจาก 1,580 จุด เป็น 1,535 จุด หากเทียบกับระดับดัชนี ณ ปัจจุบัน จะคิดเป็นโอกาสการปรับขึ้น (Upside) ในปีนี้ค่อนข้างจำกัดที่ 5% และปีหน้าที่ประมาณ 15%
บล.ทิสโก้มองว่า หุ้นคงปรับตัวขึ้นได้ยาก หากกำไรบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ยังถูกปรับลดลง มูลค่าหุ้นไทยก็จะยิ่งแพงขึ้น ปัจจุบันคิดเป็นค่าเฉลี่ยอัตราราคาต่อกำไรล่วงหน้า (Fwd. PER) ปีนี้ และปีหน้าอยู่ที่ 22.5 เท่า และ 17.4 เท่า ตามลำดับ ถือว่าสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยที่อยู่ประมาณ 15-16 เท่า นอกจากนี้การเมืองไทย ที่ส่อแววกลับมาวุ่นวายอีกครั้ง สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือพัฒนาการด้านการชุมนุม ที่อาจขยายวงกว้างมากขึ้น หากมีการยกเลิกใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
ทั้งนี้จากการศึกษาราคาหุ้นในอดีต กลุ่มที่ปรับขึ้นมากกว่าตลาดทุกครั้งในช่วงที่มีม็อบ คือ กลุ่มเกษตร I (ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +14.2%), อิเล็กทรอกนิกส์ (+9.3%), พาณิชย์ (+9.3%), บ้าน (+7.0%) และอาหาร (+6.6%) ขณะกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนที่น้อยกว่าตลาดคือสื่อสาร (ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย -14.1%),อสังหาริมทรัพย์ (-8.2%) และสื่อ (-7.7%)
สำหรับสไตล์การลงทุนแบบเก็งกำไรระยะสั้น แนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุนรายตัว แบบจำกัดวงเงิน ลงซื้อ-ขึ้นขาย ภายใต้กรอบ 1,300-1,350 จุด โดยธีมที่น่าสนใจในระยะสั้น คือ 1. หุ้นที่เห็นสัญญาณตลาดปรับประมาณการกำไรขึ้นในระยะสั้น ได้แก่ SENA, TRUE, และ TU 2. หุ้นที่งบไตรมาส 2 เป็นจุดต่ำสุด แนวโน้มครึ่งปีหลังฟื้นตัวต่อเนื่องและปีหน้าจะกลับมาโตกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ได้แก่ BJC, ILINK, PLANB และ WHA และ 3. หุ้นแนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังยังดีต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก ได้แก่ CPF, PRM, RS และ SMPC
ส่วนสไตล์การลงทุนแบบระยะกลาง-ยาว แนะนำหาจังหวะสะสมช่วงอ่อนตัว ธีมที่น่าสนใจ 1. กลุ่มอุตสาหกรรมที่มักแข็งแกร่งกว่าตลาดในช่วงการเมืองร้อน ได้แก่ หุ้นกลุ่มพาณิชย์ แนะนำ BJC, CPALL, HMPRO และ RS หุ้นกลุ่มอาหาร แนะนำ CPF, GFPT และ TVO และหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์แนะนำ DELTA และ HANA 2. หุ้นฟื้นฟูเศรษฐกิจ-สังคม 4 แสนล้านบาท และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ CK, SEAFCO และ TASCO 3. หุ้นปันผลดี ได้แก่ AP, BBL, DIF, KKP, LH, QH, SCCC, SMPC และ TVO และ 4. หุ้นรอลุ้นวัคซีน ฟื้นตัวจากฐานราคาและกำไรที่ต่ำ ได้แก่ AOT, BDMS, CENTEL, CPN, CRC และ SPA
สำหรับผลงานในไตรมาส 2/2563 บจ.ใน SET มีกำไรสุทธิรวม 1.17 แสนล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 17 ส.ค. 2563) แม้ทรุดตัวแรง -46% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (YoY) จากผลกระทบ COVID-19 แต่เริ่มฟื้นตัว 35% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) และยังเป็นไปตามคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในตลาด (Bloomberg Consensus) โดยมีสาเหตุหลักมาจากกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ที่พลิกกลับมามีกำไรสุทธิ และมีรายการพิเศษในกลุ่ม ICT และ CONMAT