HoonSmart.com>> บล.ทิสโก้ชี้หุ้นไทย “ปรับฐาน” หาสมดุลใหม่ โอกาสขึ้นน้อยกว่าหุ้นโลกอีกสักระยะ มอง 3 ปัจจัยกดดันตลาด กำไรบจ.ต่ำกว่าคาด การเมืองสหรัฐฯ ตึงเครียดมากขึ้น การเมืองไทยยังอึมครึม ด้านเศรษฐกิจโลกอาจชะงักอีกครั้ง แนะทยอยเข้าซื้อหุ้นช่วงดัชนีต่ำกว่า 1,300 จุด คัด 6 หุ้นเด่นเดือนส.ค. กำไรดีมีปันผล AP, CPF, DCC, PRM, SMPC และ TVO
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า บล.ทิสโก้มองว่าปัจจุบันหุ้นไทยอยู่ในช่วงการปรับฐานหาสมดุลใหม่ และมีแนวโน้มเคลื่อนไหว “Underperform” หรือปรับขึ้นน้อยกว่าหุ้นโลกอีกสักระยะ โดยมี 3 ปัจจัยเสี่ยงกดดันตลาดอยู่ ได้แก่ 1. ประมาณการกำไรของตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับลงอีก โดยจากการรวบรวมประมาณการกำไรของตลาดโดยรวม (Bloomberg Consensus) จำนวน 133 หลักทรัพย์ คิดเป็นสัดส่วน 76% ของมูลค่าตลาดรวมหุ้นสามัญทั้งหมดในตลาด คาดจะมีกำไรสุทธิรวมเพียง 9.01 หมื่นล้านบาท ลดลง 49% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบไตรมาสก่อน
อย่างไรก็ตาม หากนับตั้งแต่เริ่มต้นประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2/2563 จนถึงปัจจุบัน พบว่าบริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิรวม 4.12 หมื่นล้านบาท น้อยกว่าตลาดคาดแล้ว 14% หลัก ๆ มาจากกลุ่มแบงก์ เช่น BBL และ KBANK ที่มีการตั้งสำรองฯ เพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับความเสี่ยงเศรษฐกิจในอนาคต และอาจเห็นนักวิเคราะห์ในตลาดหั่นประมาณการกำไรลงอีก เนื่องจากกำไรในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้คาดว่าจะคิดเป็นสัดส่วนเพียง 35% ของประมาณการกำไรในปีนี้ สะท้อนประมาณการกำไรในปัจจุบันอาจยังอยู่ในระดับสูงอยู่
ปัจจัยเสี่ยงที่กดดันตลาดประเด็นที่ 2 คือ การเมืองระหว่างสหรัฐฯ – จีนที่มีแนวโน้มตึงเครียดมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเข้าใกล้วันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้ เพราะประธานาธิบดีทรัมป์น่าจะใช้ประเด็นโจมตีจีนในการเพิ่มคะแนนเสียงให้กับตัวเองอย่างเข้มข้นขึ้น ส่วนปัจจัยการเมืองในประเทศยังคงอึมครึม ซึ่งบล.ทิสโก้คาดว่าการปรับคณะรัฐมนตรี “ประยุทธ์ 2/2” จะเกิดขึ้นภายในต้นเดือนสิงหาคมนี้ นอกจากจะช่วยลดแรงกดดันภายในพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว น่าจะทำให้การทำงานของรัฐบาลรวมทั้งข้าราชการกลับมาเดินหน้าได้ตามปกติ
“สำหรับการเมืองไทยมีมีประเด็นที่แนะนำให้ติดตาม คือ 1. ผลงานรัฐบาลหลังปรับคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอนุมัติโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมภายใต้กรอบวงเงิน 4 แสนล้านบาท และการเร่งรัดโครงการลงทุนภาครัฐต่างๆ เพราะจะเป็นหัวหอกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะถัดไป 2. การพิจารณางบประมาณปี 2564 ในวาระที่ 2 และ 3. การชุมนุมทางการเมืองโดยเฉพาะเมื่อครบกำหนดการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้” นายอภิชาติกล่าว
3. การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกต่อจากนี้อาจหยุดชะงักหรืออ่อนแอลง เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมากำลังทยอยหมดลง ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระลอกถัดไปอาจล่าช้าหรือไม่เพียงพอ ประกอบกับการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกสองในหลายประเทศ อาจทำให้ต้องกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะสั้น
นายภิชาติ กล่าวอีกว่า จากประเด็นดังกล่าวแนะนำให้นักลงทุนหาจังหวะซื้อหุ้นช่วงที่ดัชนีหุ้นไทยลงมาต่ำกว่าระดับ 1,300 จุด เน้นลงทุนในหุ้นงบดีมีปันผลจ่ายระหว่างกาล เช่น CPF, DCC, SMPC และ TVO รวมทั้งหุ้นบางตัวที่ตลาดมีโอกาสปรับประมาณการกำไรขึ้น เช่น AP, CPF, DCC และ PRM
“หุ้นเด่นที่บล.ทิสโก้แนะนำในเดือน สิงหาคมคือ AP, CPF, DCC, PRM, SMPC และ TVO ด้านแนวรับสำคัญเดือนนี้อยู่ที่ 1,300 -1,305 จุด แนวรับถัดไปอยู่ที่ 1,250 – 1,280 จุด แนวต้านสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,350 จุดโดยมีแนวต้านถัดไปที่ 1,380 -1,390 จุด”นายอภิชาต กล่าว