HoonSmart.com>>นายกฯ สั่งปิดน่านฟ้าหาทางอุดรอยรั่วโควิด ยันยังไม่ถึงขั้นล็อกดาวน์ บล.เอเซียพลัสคาดความกลัวกระทบหุ้นระยะสั้น กลุ่มท่องเที่ยว-ห้างสรรพสินค้า-แบงก์-พลังงาน ให้หุ้นเด่น STGT-STA-ADVANC-INTUCH-DIF-CPALL-CPF-DCC บล.หยวนต้าแนะซื้อ STGT-IVL-AJ-SELIC บล.ฟินันเซียฯ คาดกลุ่มร้านอาหาร-ห้างสรรพสินค้า-ท่องเที่ยว-สายการบินป่วน บล.ทรีนีตี้ชี้ส่อเลื่อนโครงการ Travel bubble กระทบหุ้นท่องเที่ยว 4 กลุ่มกังวลล็อกดาวน์ 3 กลุ่มได้ผลดีจากทำงานที่บ้าน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวว่า ในฐานะผู้อำนวยการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) กล่าวว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้ระงับเที่ยวบินจากต่างประเทศไว้ก่อนจนกว่าจะหาแนวทางไม่ให้เกิดปัญหาในลักษณะเดียวกับกรณีทหารอียิปต์และเด็กหญิงชาวซูดานติดเชื้อโควิด-19 และยังสั่งการให้ ศบค.ทบทวนมาตรการผ่อนคลายในกรณีของชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย แต่คงยังไม่ถึงขั้นต้องกลับไปล็อกดาวน์ หรือห้ามชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาเลย
นายภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ประเมินว่ายังไม่ถึงขั้นปิดเมือง แต่อาจจะมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด อาจจะกดดันตลาดหุ้นในระยะสั้น ในกลุ่มที่เกี่ยวกับสาธารณะ ประกอบด้วย กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มห้างสรรพสินค้า ซึ่งกดดันต่อเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อกลุ่มธนาคารพาณิชย์ รวมถึงการปิดเมืองในต่างประเทศ มีผลต่อกลุ่มพลังงาน เนื่องจากราคาน้ำมันดิบอาจจะมีการปรับลด จากความต้องการใช้ที่หายไป และการประชุมโอเปกที่อาจจะมีการขยายกำลังการผลิต
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในช่วงเกิดโควิด-19 ให้หุ้น STGT ราคาเหมาะสมที่ 90 บาท ปัจจุบันใกล้มูลค่าเหมาะสมแล้ว ส่งผลให้หุ้น STA อาจจะมีพลิกมีกำไร และปริมาณขายเพิ่มขึ้น จากการปิดตัวของธุรกิจขนาดเล็กและกลาง ให้มูลค่าเหมาะสมที่ 37 บาท
ขณะที่หุ้นที่มีพื้นฐานแกร่ง และหุ้นที่แข็งแกร่งกว่าตลาด ให้หุ้น ADVANC ที่ราคา 210 บาท , INTUCH ที่ 70 บาท และ DIF จากรูปแบบการใช้ชีวิตแบบออนไลน์ การทำงานและเรียนออนไลน์ และ 5G ที่เข้ามาใหม่ รวมถึงผลตอบแทนปันผลดี และให้หุ้นสาธารณูปโภค CPALL ที่ราคา 78 บาท และ CPF 40 บาท รวมถึงหุ้นเด่นคาดกำไรไตรมาส 2/63 เติบโตโดดเด่น ให้ DCC ที่ราคา 2.7 บาท
ด้านนายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า กลุ่มท่องเที่ยว ขนส่ง และห้างสรรพสินค้า ถูกกดดันในระยะสั้น และส่งผลต่อกลุ่มแบงก์ หุ้นเด่นได้ประโยชน์จากการแพร่บาด ให้ STGT , IVL , AJ และ SELIC
นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นตอบรับปัจจัยเชิงลบ ซึ่งยังต้องติดตามตัวเลขการติดเชื้อในประเทศอีก 1-2 สัปดาห์ กดดันระยะสั้นต่อกลุ่มร้านอาหาร และห้างสรรพสินค้า รวมถึงการล่าช้าของมาตรการการท่องเที่ยว ส่งผลกลุ่มท่องเที่ยว และสายการบิน แนะนำหุ้นเด่นให้ STGT แนะนำซื้อที่ราคา 111 บาท สามารถลงทุนระยะยาวได้ แต่ต่องประเมินความเสี่ยงในการเข้าซื้อด้วย และกลุ่มเกษตรและอาหาร แนะนำซื้อเข้าพอร์ตเมื่อราคาอ่อนตัวให้ CPF
บล.ทรีนีตี้ มองประเด็นความเสี่ยงของการระบาดรอบสองในประเทศ จึงค่อนข้างมั่นใจว่าโครงการ Travel bubble ที่ไทยต้องการจะจับคู่กับประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำนั้น น่าจะต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด หรืออาจจะไม่ได้เห็นเลยในปีนี้ มีโอกาสปรับลดคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้ลงอีก แนะนำ ‘หลีกเลี่ยง’ กลุ่มท่องเที่ยวต่อไปเช่นเดิม ทั้ง สนามบิน (AOT) สายการบิน (BA, AAV) โรงแรม (AWC, CENTEL, ERW, MINT) และบริการนักท่องเที่ยวต่างๆ (SPA)
นอกจากนี้กลุ่มที่อาจเสียประโยชน์หากการล็อกดาวน์กลับมาเข้มข้นขึ้นอีกครั้ง ทำให้ผู้คนลดระดับการออกจากบ้าน อาทิ 1.กลุ่มห้างสรรพสินค้า ได้แก่ CRC, MBK, PLAT, LHSC, CPNREIT 2.กลุ่ม Home product เช่น HMPRO, GLOBAL, DOHOME 3. กลุ่มให้บริการความบันเทิงนอกบ้าน อาทิ MAJOR 4.กลุ่มขนส่งและปั๊มน้ำมัน ได้แก่ BEM, BTS, PTG
อย่างไรก็ตามในทางกลับกัน ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้อาจทำให้ปรากฏการณ์ WFH ในประเทศเริ่มกลับมาอีกครั้ง รวมถึงยกระดับความระมัดระวังของผู้คน ซึ่งก็อาจจะส่งผล เชิงบวกต่อหุ้นบางกลุ่มได้เช่นกัน อาทิ 1. กลุ่มแพคเก็จจิ้งได้แก่ SFLEX 2.กลุ่มประกันภัย ได้แก่ TQM 3. กลุ่มกักตุนสินค้า ได้แก่ BJC, CPALL, MAKRO
ตลาดหุ้นไทยผันผวนสูงติดต่อเป็นวันที่สอง 14 ก.ค. ดัชนีลงไปลึกสุด -15.72 ที่ 1,326.65 จุด ก่อนฟื้นขึ้นมาปิดที่ 1,341.07 จุด -1.30 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 63,991 ล้านบาท โดยมีแรงซื้อหุ้นแบงก์ใหญ่ และพลังงาน
ด้านนักลงทุนสถาบันในประเทศขาย 1,827 ล้านบาท ด้านรายย่อยซื้อ 1,910 ล้านบาท และต่างชาติซื้อ 229.37 ล้านบาท โดยมีบิ๊กล็อต STGT 3 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ย 80 บาท มูลค่า 240 ล้านบาท