SIRI ขายเกลี้ยงหุ้นกู้ชั่วรันดร์มูลค่า 3 พันลบ. มั่นใจครึ่งปีหลังกำไรโต

HoonSmart.com>> “แสนสิริ” ปลื้มนักลงทุนตอบรับหุ้นกู้ด้อยสิทธิคล้ายทุนเต็มมูลค่า 3,000 ล้านบาท เดินหน้าตามแผนธุรกิจรับการเติบโตระยะยาว 3 ปี ยอดขาย 1.2 แสนล้านบาท เดินหน้าเปิด 12 โครงการใหม่ มูลค่า 1.69 หมื่นล้าน เชื่อมั่นครึ่งปีหลังกำไรโต ยอดขายปี 63 ตามเป้าใหม่ 35,000 ล้านบาท

วันจักร์ บุรณศิริ

นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ (SIRI) เปิดเผยว่า บริษัทประสบความสำเร็จในการเสนอขาย Subordinated Perpetual Bond หรือ หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ที่นำเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป อัตราดอกเบี้ยในช่วง 5 ปีแรกเท่ากับ 8.50% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน สำหรับการเสนอขาย Subordinated Perpetual Bond ในครั้งนี้นักลงทุนให้การตอบรับเต็มจำนวนนำเสนอขาย 3,000 ล้านบาท สะท้อนถึงความความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อแสนสิริและความแข็งแกร่งของแบรนด์แสนสิริได้เป็นอย่างดี

“การวางแผนธุรกิจให้มีความพร้อมและรัดกุม พร้อมปรับเปลี่ยนตามทุกสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา เป็นสิ่งที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน การนำเสนอขาย Subordinated Perpetual Bond นับเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการเงินที่เป็นทางเลือกให้แก่บริษัทเอกชนสำหรับนำไปขยายธุรกิจ โดยแสนสิริและทั้ง 6 สถาบันการเงินซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่าย ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ,ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารกสิกรไทย,ธนาคารไทยพาณิชย์,ธนาคารซีไอเอ็มบีไทยและบริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัสเดินหน้าปฏิบัติตามขั้นตอนการนำเสนอขายตลอดจนให้ข้อมูลที่ครบถ้วน โปร่งใส แก่ผู้สนใจ ดังนั้นเมื่อนักลงทุนศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดครบถ้วนและเชื่อมั่นในความมั่นคงของบริษัทและความแข็งแกร่งของแบรนด์ จึงทำให้แสนสิริสามารถปิดการขาย Subordinated Perpetual Bond เต็มจำนวน 3,000 ล้านบาท” นายวันจักร์ กล่าว

สำหรับเงินที่ได้จากการเสนอขาย Subordinated Perpetual Bond จะถูกนำมาขยายการลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ที่มาพร้อมกับการมุ่งมั่นพัฒนาที่อยู่อาศัยและสร้างไลฟ์สไตล์ที่ดีควบคู่กัน ภายใต้แนวคิด Made for Life…Made for Everyone โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาทั้งในด้านโปรดักส์ – การบริการ (Sansiri Service) – Culture หรือพื้นที่แบ่งปันไลฟ์สไตล์รวมถึงวัฒนธรรมการใช้ชีวิตระหว่างกัน และ Sustainability หรือการทำเพื่อสังคม ชุมชนรอบตัว ในทุกที่ที่แสนสิริเข้าไปพัฒนาโครงการ เพื่อเติบโตไปพร้อมกับสังคม ซึ่งเป็นจุดขายที่แสนสิริแตกต่างเหนือคู่แข่ง ตอกย้ำการเป็นแบรนด์ที่เข้าถึงได้ในทุกระดับราคา

พร้อมกันนี้บริษัทยังเดินหน้าตามแผนด้านการเงินเพื่อรองรับการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาว เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายการรักษาความเป็นเบอร์หนึ่งของการเป็น “แบรนด์อันดับหนึ่งของคนอยากมีบ้าน” ในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งรักษาการเติบโตทางธุรกิจอย่างมั่นคง

ทั้งนี้ แผนการเติบโตระยะยาว บริษัทมีแผนผลักดันยอดขายให้เติบโตสู่ 120,000 ล้านบาทภายในระยะเวลา 3 ปี ด้วยแผนรุกธุรกิจที่แข็งแกร่ง 3 แนวทางได้แก่ 1. แผนการเปิดตัวโครงการใหม่ที่รัดกุมพร้อมปรับเปลี่ยนไปตามทุกสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา โดยในช่วงครึ่งปีหลัง จากการประเมินภาพรวมสถานการณ์ต่างๆ บริษัทยังมีแผนเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่รองรับการเติบโตอีก 12 โครงการ มูลค่ารวม 16,900 ล้านบาท แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮมและมิกซ์โปรดักส์ 10 โครงการ มูลค่ารวม 14,300 ล้านบาท และ คอนโดมิเนียมอีก 2 โครงการ มูลค่ารวม 2,600 ล้านบาท 2. การบริหารสต็อกที่ดี ปัจจุบันแสนสิริ มีสินค้าพร้อมขายมูลค่าประมาณ 7,000 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นปริมาณที่มีความสมดุลในตลาด 3. การบริหารกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งและสภาพคล่องที่ดี โดยการจัดสรรเงินหมุนเวียนในระดับที่เหมาะสม ซึ่งเมื่อรวมกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนจากผลตอบรับในการปิดการขาย Subordinated Perpetual Bond ส่งผลให้ล่าสุดบริษัทมีสภาพคล่องในมือรวมเป็น 12,000 ล้านบาท ทำให้มีความพร้อมในการดำเนินธุรกิจและมีความแข็งแกร่งในทุกสภาวการณ์

“บริษัทยังคาดการณ์กำไรที่เพิ่มขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งมาจากการโฟกัสโครงการแนวราบ เป็น Strategic Flagship ควบคู่ไปกับการรักษายอดขายและยอดโอนโครงการคอนโดมีเนียม โดยในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทยังมีแผนโอนคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใหม่ อีก 4 โครงการใหม่ ได้แก่ เดอะ เบส เซ็นทรัล ภูเก็ต, เดอะ เบส สะพานใหม่, XT เอกมัย และ La Habana หัวหิน เป็นต้น ทั้งนี้ นอกเหนือจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อแสนสิริและความแข็งแกร่งของแบรนด์แสนสิริ จนส่งผลให้ประสบความสำเร็จในการเปิดขาย Subordinated Perpetual Bond แล้ว ความเชื่อมั่นของลูกค้าในการเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของคนอยากมีบ้าน และเข้าถึงได้ในทุกระดับราคา ยังส่งผลให้บริษัทประสบความสำเร็จในยอดขาย โดยคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้าหมายใหม่ ที่มีการปรับเพิ่มขึ้นเป็น 35,000 ล้านบาท” นายวันจักร์ กล่าว