HoonSmart.com>> “ทริสเรทติ้ง” ลดเครดิตองค์กร “เอสโซ่ ประเทศไทย” เป็น “A” จาก “A+” สะท้อนผลดำเนินงานอ่อนแอลง แนวโน้มธุรกิจการกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีที่ยังคงอ่อนแอ จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ผลกระทบไวรัสโควิด-19
บริษัท ทริส เรทติ้ง ปรับลดอันดับเครดิตองค์กรของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) หรือ ESSO เป็น “A” จาก “A+” การปรับลดอันดับเครดิตเป็นผลมาจากผลการดำเนินงานของบริษัทที่อ่อนแอลง ประกอบกับแนวโน้มของธุรกิจการกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีที่ยังคงอ่อนแอเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวซึ่งเป็นผลมาจากการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19)
อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างบริษัทกับ Exxon Mobil Corporation และบริษัทในเครือ (ExxonMobil Group) ประกอบกับการมีโรงกลั่นน้ำมันที่มีประสิทธิภาพและครบวงจร รวมถึงการมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่ง ในทางตรงข้าม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูงและการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันด้วย
บริษัทรายงานผลขาดทุนก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจำนวน 1.3 พันล้านบาทในปี 2562 ผลประกอบการที่อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์นี้เป็นผลจากค่าการกลั่นที่อยู่ในระดับต่ำประกอบกับยังคงมีภาวะอุปทานส่วนเกินสำหรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีของบริษัท นอกจากนี้ บริษัทได้หยุดโรงกลั่นเพื่อซ่อมบำรุงใหญ่เป็นเวลา 60 วัน ทำให้อัตราการนำน้ำมันเข้ากลั่นลดลง 20% จากปีก่อนหน้า
ตลาดน้ำมันผันผวนอย่างหนักส่งผลให้ ผลประกอบการของบริษัทมีแนวโน้มที่จะอ่อนแอลงไปอีกในปี 2563 โดยในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2563 การแพร่ระบาดครั้งใหญ่ของโควิด-19 ทำให้หลายประเทศทั่วโลกได้ดำเนินมาตรการในการสกัดการแพร่ระบาดที่เข้มข้น ซึ่งส่งผลเสียหายต่อความต้องการใช้น้ำมันของโลก ในขณะเดียวกันก็เกิดสงครามราคาน้ำมันระหว่างซาอุดิอาระเบียและรัสเซีย ส่งผลให้เกิดการหดตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างฉับพลันและทำให้เศรษฐกิจของโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย ปริมาณน้ำมันที่ล้นตลาดและความต้องการใช้น้ำมันที่หดตัวอย่างรุนแรงทำให้ราคาน้ำมันดิบลดลงจากประมาณ US$64 ต่อบาร์เรลในเดือนมกราคม 2563 เหลือประมาณ US$21 ต่อบาร์เรลในเดือนเมษายน 2563
จากเหตุการณ์ข้างต้นส่งผลให้บริษัทขาดทุนจากสินค้าคงเหลืออย่างมากในไตรมาสที่ 1 ของปี 2563 ในขณะที่ปริมาณการนำน้ำมันดิบเข้ากลั่นลดลงไปประมาณ 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ ความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปโดยเฉพาะน้ำมันอากาศยานและน้ำมันเบนซินก็ลดลงอย่างมาก ส่งผลให้บริษัทมีขาดทุนจากค่าการกลั่นรวม (หรือ ค่าการกลั่นฐาน รวมกับกำไรหรือขาดทุนจากสินค้าคงเหลือ) ทั้งสิ้น 19.3 ดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับกำไร 4.5 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้บริษัทขาดทุนก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ประมาณ 7.3 พันล้านบาทในไตรมาสที่ 1 ของปี 2563 อย่างไรก็ตาม บริษัทได้พยายามลดการกลั่นน้ำมันอากาศยานและควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้น
การปรับลดอันดับเครดิตได้รวมถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะอ่อนแอลง ทริสเรทติ้งมองว่าการฟื้นตัวของอุปสงค์น้ำมันของโลกยังคงเปราะบางแม้ว่าหลายประเทศจะเริ่มเปิดประเทศแล้ว แต่แนวโน้มของอุตสาหกรรมการกลั่นน้ำมันยังคงมีความไม่แน่นอนสูงเนื่องจากอาจเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้อีกครั้ง
จากแนวโน้มธุรกิจการกลั่นน้ำมันที่ยังคงอ่อนแอ ทริสเรทติ้งจึงได้ปรับประมาณการผลการดำเนินงานของบริษัทลง ทริสเรทติ้งประมาณการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ระหว่าง 30-35 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลสำหรับปี 2563 และเพิ่มขึ้นไปอยู่ในช่วง 50-55 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในระหว่างปี 2564-2565 นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะใช้กำลังการกลั่นน้ำมันดิบที่ประมาณ 70% หรือคิดเป็นปริมาณน้ำมันดิบเข้ากลั่นที่ 120 พันบาร์เรลต่อวันในปี 2563 ก่อนเพิ่มขึ้นเป็น 135 พันบาร์เรลต่อวันในปี 2564-2565
นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าค่าการกลั่นฐานของบริษัทจะยังคงลดลงต่อเนื่องในไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 แต่จะค่อย ๆ ดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีเป็นต้นไป โดยภาพรวม ทริสเรทติ้งคาดว่าค่าการกลั่นรวมของบริษัทยังคงติดลบอยู่สำหรับปี 2563 ก่อนจะเพิ่มขึ้นอยู่ในช่วง 5-6 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2564-2565
ในประมาณการฐานของทริสเรทติ้งนั้นคาดว่าบริษัทจะยังคงมีผลขาดทุนก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายอยู่ระหว่าง 5-7 พันล้านบาทและยังคงมีขาดทุนสะสมอยู่ ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 70% ในปี 2563 จากประมาณ 59% ณ สิ้นปี 2562
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้เพิ่มขึ้นในแต่ละปีหลังจากนั้น และกลับมามีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่ดีขึ้น ในปี 2564-2565 อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงมีขาดทุนสะสมอยู่จนถึงปลายปี 2565 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนคาดว่าจะอยู่ในช่วง 60%-65% ในระหว่างปี 2564-2565 ซึ่งสูงกว่าประมาณการในครั้งก่อน ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย จะอยู่ที่ประมาณ 4-5 เท่าในปี 2564-2565 ทริสเรทติ้งประมาณการว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเฉลี่ย 3 ปี ระหว่างปี 2563-2565 จะอยู่ที่ประมาณ 2 พันล้านบาทต่อปี
ทริสเรทติ้งไม่มีความกังวลต่อสภาพคล่องของบริษัท โดย ณ เดือนมีนาคม 2563 บริษัทมีวงเงินที่ยังไม่ได้เบิกใช้กับธนาคารประมาณ 1.88 หมื่นล้านบาท และวงเงินสำรองจากกลุ่ม ExxonMobil อีก 5.4 หมื่นล้านบาท ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงไดัรับการสนับทางการเงินจากกลุ่ม ExxonMobil เมื่อมีความจำเป็น โดยจะเห็นได้จากวงเงินกู้ที่บริษัทได้รับในหลายปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ณ เดือนมีนาคม 2563 ประมาณ 64% ของเงินกู้ของบริษัทเป็นเงินกู้ที่ได้รับจากกลุ่ม ExxonMobil
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งที่บริษัทมีกับกลุ่ม ExxonMobil รวมถึงประโยชน์ต่าง ๆ ที่บริษัทจะได้รับจากกลุ่มด้วย นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจปิโตรเลียมภายในประเทศเอาไว้ได้และจะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในหลายปีข้างหน้าอีกด้วย
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง โอกาสที่บริษัทจะได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้ามีค่อนข้างจำกัด แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้หากบริษัทกลับมามีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญรวมถึงมีหนี้สินทางการเงินที่ลดลงด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตมีโอกาสที่จะลดระดับลงหากผลประกอบการของบริษัทอ่อนแอลงไปอีก ซึ่งอาจจะเกิดจากการฟื้นตัวของตลาดน้ำมันที่กินเวลานานหรือยังคงเกิดอุปทานส่วนเกินของน้ำมันอยู่ หรือหากมีข้อบ่งชี้ว่าบริษัทได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม ExxonMobil Group น้อยลง