HoonSmฟrt.com>>หุ้นคาราบาวกรุ๊ปขึ้นทุกวัน หลังประกาศกำไร 800 ล้านบาท พุ่งเฉียดเท่าตัวไตรมาส 1 ปีนี้ตั้งเป้ารายได้โต 25% เตรียมขยายตลาดต่างประเทศให้แข็งแกร่ง เพิ่มประเทศใหม่ ๆ เสนอผลิตภัณฑ์ให้ครบทุกรูปแบบเอาใจลูกค้าในปัจจุบัน ส่วน C+ lock ไปได้สวย หวังยอดขาย 1,500 ล้านบาท บล.บัวหลวงเล็งเพิ่มเป้ากำไร-ราคาเป้าหมาย
นางสาวณัฐชไม ถนอมบูรณ์เจริญ รองประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป (CBG) เปิดเผยกับ www.HoonSmart.com ว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 25 % โดยมีแผนการขยายฐานตลาดต่างประเทศ เพื่อเพิ่มสัดส่วนยอดขายจากต่างประเทศให้มากขึ้น จากไตรมาส 1 อยู่ที่ประมาณ 63% เนื่องด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน และมีบริษัทสนใจเสนอเข้ามาตลอด แต่ทางบริษัทฯยังต้องศึกษาให้ดีก่อน สำหรับตลาดต่างประเทศที่บริษัทฯมีฐานลูกค้าอยู่แล้ว เตรียมเสริมผลิตภัณฑ์ที่ขาดของแต่ละประเทศนั้นๆ เพื่อให้สามารถขายครบทุกรูปแบบ รวมถึงออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
นอกจากนี้บริษัทย่อย ซึ่งบริษัทถือหุ้น 85% ร่วมทุนกับ วุฒิธร มิลินทจินดา ทำธุรกิจเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ หลังจากเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Woody C- Lock ยอดขายเติบโตได้ดี กระแสตอบรับดี โดยปีนี้วางยอดขาย 100 ล้านขวด หรือ 1,500 ล้านบาท
สำหรับผลงานในไตรมาส 1/2563 มีรายได้จากการขายรวม 4,061 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 700 ล้านบาทหรือ 20.8% และกำไรสุทธิที่ 800.94 ล้านบาท ขยายตัว 90% โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากปริมาณคำสั่งที่เพิ่มขึ้นของการส่งออกเครื่องดื่มบำรุงกำลังไปยังตลาดต่างประเทศ และการเติบโตของรายได้จากการรับจ้างจัดจำหน่ายสินค้าให้บุคคลภายนอก
บล.บัวหลวง ยังคงแนะนำซื้อหุ้น CBG เตรียมทบทวนประมาณการกำไรและราคาเป้าหมาย จากการประชุมนักวิเคราะห์ ผู้บริหารมั่นใจว่ายอดขายในไตรมาส 2 ยังเติบโตเล็กน้อยจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้ Woody C- Lock และเครื่องดื่มชูกำลังที่ส่งออกได้ดี แม้ว่าในไตรมาส 1 จะมีอัตรากำไรทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 42.4% ผู้บริหารคาดว่ามีโอกาสขึ้นได้อีกเล็กน้อยในระยะสั้น ส่วนในระยะยาว ปี 2564 เป็นต้นไปมีโอกาสปรับขึ้นอีกราว 2% จากแผนการลดต้นทุนการผลิต
“เราเห็นแนวโน้มการเติบโตแข็งแกร่งและคาดว่าจะเติบโตถึง 40% ในปีนี้ และไตรมาส 2 จะลดลงเล็กน้อยจากฐานสูงในไตรมาส 1 และเห็นถึงกลยุทธ์ที่จะสร้างการเติบโตของกำไรในระยะยาวตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป “บล.บัวหลวงระบุ
ด้านการซื้อขายหุ้น CBG นิวไฮ หลังจากประกาศกำไรออกมาโตเกินคาด ปรากฎว่าราคาปรับตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วจากบริเวณ 70 บาทเศษ ขึ้นมาปิดที่ 97.50 บาท บวก 3 บาทหรือ 3.17% สำหรับการซื้อขายภาคเช้าวันที่ 18 พ.ค. 2563 ทั้งนี้เป็นจุดสูงสุดในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ 8 ใน 10 ราย แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 100.80 บาท และราคากลาง 106 บาท จากราคาต่ำสุดที่ 76.75 บาท โดยบล. CGS-CIMB และราคาสูงสุดถึง 118 บาทของบล. เคทีบี (ประเทศไทย)