“สหรัฐ-จีน”เปิดศึกการค้า อัดมาตรการภาษีใส่กัน

เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2561 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกาได้ลงนามให้เรียกเก็บภาษีในอัตรา 25% สินค้านำเข้าของจีนที่มีมูลค่ารวมกัน 50 พันล้านดอลลาร์

แถลงการณ์สหรัฐระบุว่าการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนจะเริ่มขึ้นในวันที่ 6 กรกฎาคม 2561 โดยอัตราภาษีจะมีผลต่อสินค้าจากจีน 1,100 รายการ โดยมีเป้าหมายไปที่ธุรกิจผลิตอากาศยาน หุ่นยนต์ ภาคการผลิตและ อุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งในช่วงแรกจะบังคับใช้กับสินค้าจำนวน 800 รายการมูลค่านำเข้ารวม 34 พันล้านดอลลาร์ ส่วนอีก 280 รายการจะพิจารณาในภายหลัง

ทางด้านจีนได้ออกมาตอบโต้ในทันทีโดยประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ โดยแถลงการณ์กระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่า สหรัฐเปลี่ยนใจตลอดเวลาและตอนนี้ก็หันมาเปิดศึกการค้า ดังนั้นจีนก็จะเอาคืนอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ รวมทั้งการเป็นโลกไร้พรมแดน และระบบการค้าของโลก

ในแถลงการณ์จีนยังระบุว่า จะใช้มาตรการทางภาษีที่จะมีผลเท่ากับขนาดและความรุนแรงของมาตรการภาษีที่สหรัฐนำมาใช้กับจีน อีกทั้งข้อตกลงทางเศรษฐกิจและการค้าที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้จะลบล้างไปพร้อมกัน ซึ่งข้อตกลงนี้ครอบคลุมถึงการที่จีนจะเพิ่มการซื้อพลังงานและสินค้าเกษตรของสหรัฐให้มากขึ้น นอกจากนี้การใช้มาตรการภาษีของจีนกับสินค้านำเข้าสหรัฐก็จะแบ่งออกเป็น 2 ล็อต และเริ่มในวันที่ 6 กรกฎาคม 2561 เช่นกัน

ในล็อตแรกจีนจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ 545 รายการที่ครอบคลุมสินค้าเกษตร รถยนต์ และอาหารทะเล มูลค่ารวม 34 พันล้านดอลลาร์ ส่วนอีก 114 รายการที่ประกอบด้วยสินค้าประเภทเคมีภัณฑ์ อุปกรณ์การแพทย์ และพลังงานจะเริ่มในภายหลัง

ข้อมูลจากเว็บไซต์ CNN ระบุว่า ในปี 2017 สินค้าส่งออกจากสหรัฐไปจีนมีมูลค่า 187 พันล้านดอลลาร์ แต่นำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่า 524 พันล้านดอลลาร์

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่า มาตรการทางภาษีมีเป้าหมายเพื่อตอบโต้การที่จีนขโมยทรัพย์สินทางปัญญาและเทคโนโลยีสหรัฐ และหากจีนตอบโต้กลับมา สหรัฐก็จะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีกรอบ

ก่อนหน้านี้สหรัฐได้ใช้มาตรการทางภาษีด้วยการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจาก แคนาดา สหภาพยุโรปและเม็กซิโก ซึ่งทั้ง 3 ประเทศต่างประกาศที่จะตอบโต้สหรัฐ

กระทรวงพาณิชย์ของจีนระบุว่า ในโลกปัจจุบันและยุคนี้ การเปิดสงครามการค้าไม่ใช่สิ่งที่มีประโยชน์ต่อโลก และยังได้เรียกร้องให้ทุกประเทศร่วมมือกันเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวที่ล้าสมัยและย้อนยุคนี้ และเพื่อปกป้องผลประโยชน์ร่วมกันของชาวโลก