HoonSmart.com>> “เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย” ตั้งบริษัทย่อยใหม่ในสิงคโปร์รองรับทำธุรกิจซื้อ-ขายคอนเทนต์ต่างประเทศ พร้อมใส่เงินเพิ่มทุน JKN News อีก 20 ล้านบาท ขยับวงเงินออกหุ้นกู้อีก 1 พันล้านบาท เป็นไม่เกิน 2.5 พันล้านบาท
บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย (JKN) เปิดเผยมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 19 มี.ค.2563 อนุมัติจัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ในประเทศสิงคโปร์ ชื่อ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล คอนเทนต์ (สิงคโปร์) จำกัด จัดตั้งภายในเดือนมิ.ย.2563 ทุนจดทะเบียนไม่เกิน 10 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยถือหุ้น 100% เพื่อดำเนินธุรกิจการซื้อและขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ต่างประเทศ สำหรับแหล่งเงินที่ใช้มาจากเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
คณะกรรมการบริษัทฯ ยังมีมติอนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนในบริษัท เจเคเอ็น นิวส์ จำกัด (JKN News) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้นอยู่ 99.99% ซึ่งจะเพิ่มทุนจำนวน 20 ล้านบาท ภายในเดือนพ.ค.2563 จากทุนจดทะเบียนเดิม 60 ล้านบาท เป็น 80 ล้านบาท โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนของผู้ถือหุ้นใน JKN News
วัตถุประสงค์ในการเพิ่มทุนในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินธุรกิจของ JKN News โดยบริษัทมีแหล่งเงินทุนเพื่อใช้ในการเพิ่มทุนมาจากเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
คณะกรรมการอนุมัติยกเลิกมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 1/2563 ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 28 ก.พ.2563 เรื่องการขยายวงเงินการออกและเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัทเพิ่มอีกจำนวน 500 ล้านบาท เป็นวงเงินใหม่ไม่เกิน 2,000 ล้านบาท หลังจากนั้นอนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 เพื่อพิจารณาอนุมัติการขยายวงเงินการออกและเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัท เพิ่มอีกจำนวน 1,000 ล้านบาท จากวงเงินเดิมไม่เกิน 1,500 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินใหม่ไม่เกิน 2,500 ล้านบาท ณ ขณะใดขณะหนึ่ง
สาเหตุเนื่องจาก ณ วันที่ของการประชุมในครั้งนี้ บริษัทมีหุ้นกู้ซึ่งออกและเสนอขายตามมติอนุมัติการออกหุ้นกู้เดิมและยังไม่ได้มีการไถ่ถอนจำนวน 1,300 ล้านบาท ทำให้มีวงเงินคงเหลือที่บริษัทสามารถออกและเสนอขายหุ้นกู้เพิ่มเติมได้อีกจำนวนไม่เกิน 200 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้มีการเตรียมการเพื่อชำระคืนหุ้นกู้ที่กำลังจะครบกำหนดในปี 63 จำนวน 900 ล้านบาท ดังนั้น จึงจำเป็นต้องขยายวงเงินหุ้นกู้เพิ่มเป็น 2,500 ล้านบาท เพื่อรองรับการชำระคืนหุ้นกู้ดังกล่าว และภายหลังจากชำระคืนหุ้นกู้แล้ว บริษัทคาดว่าจะมีหุ้นกู้ที่ยังไม่ได้มีการไถ่ถอนคงเหลือ 1,300 ล้านบาท