HoonSmart.com>> ทริสเรทติ้ง ลดเครดิต “ไทยแอร์เอเชีย” พร้อมหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกัน เป็นระดับ “BBB+” จาก “A-“พร้อมเปลี่ยนแนวโน้มเครดิตเป็น “ลบ” สะท้อนสถานะการเงินอ่อนแอลง เหตุแข่งขันรุนแรง หนี้สูง มองไวรัสโควิด-19 กระทบระยะสั้น หากควบคุมได้เชื่อการเดินทางนักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัวได้รวดเร็ว แนวโน้มผลดำเนินงานและฐานะการเงินจะดีขึ้นในปี 2564
บริษัท ทริสเรทติ้ง ประกาศปรับลดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท ไทยแอร์เอเชีย เป็นระดับ “BBB+” จาก “A-” พร้อมทั้งเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น “Negative” หรือ “ลบ” จาก “Stable” หรือ “คงที่” โดยการลดอันดับเครดิตในครั้งนี้สะท้อนถึงสถานะทางการเงินของบริษัทที่อ่อนแอลงจากการแข่งขันที่รุนแรงอย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรมการบิน รวมถึงภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ในระดับสูง
นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังมีข้อจำกัดจากความผันผวนของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา และความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่ไม่อาจคาดเดาได้ล่าสุดคือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19)
อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตของบริษัทยังคงสะท้อนถึงสถานะผู้นำในธุรกิจสายการบินราคาประหยัดในประเทศไทย ตลอดจนประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุน การผสานประโยชน์และการสนับสนุนกับกลุ่มแอร์เอเชียซึ่งประกอบไปด้วย AirAsia Berhad และบริษัทในเครือ
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต ทริสคาดว่า ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะยังคงอยู่ภายใต้ความกดดัน แต่จะฟื้นตัวได้ในปี 2564 โดยในช่วงปี 2562 และปี 2563 ผลการดำเนินงานทางการเงินของบริษัทจะได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่รุนแรงและความต้องการเดินทางทางอากาศที่อ่อนตัวลงจากผลของการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 โดยทริสเรทติ้งคาดว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 15% ถึง 17% ในปี 2562 และปี 2563 เปรียบเทียบกับระดับ 18.2% ในปี 2561
อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรจากการดำเนินงานอาจจะฟื้นตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับประมาณ 20% ในปี 2564 หากการหยุดชะงักต่าง ๆ อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 สิ้นสุดลงภายใน 6 เดือนและการแข่งขันในอุตสาหกรรมการบินมีความสมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างปี 2562-2564 ทริสเรทติ้งคาดว่าราคาน้ำมันเครื่องบินจะอยู่ระหว่าง 75-80 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล นอกจากนี้ยังคาดด้วยว่าบริษัทจะสามารถบริหารจัดการต้นทุนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับต่ำที่ประมาณ 1 บาทต่อที่นั่ง-กิโลเมตร (กม.) ได้
ในปี 2562 บริษัทต้องลดราคาตั๋วเครื่องบินลง เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรง โดยในอนาคตทริสเรทติ้งเชื่อว่าการแข่งขันจะยังคงรุนแรงต่อไป แต่จะมีความสมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้นเนื่องจากทุกสายการบินในประเทศไทยมีผลการดำเนินงานทางการเงินที่อ่อนแอ จึงคาดว่าบริษัทจะสามารถเพิ่มราคาตั๋วเครื่องบินได้ประมาณ 2%-3% ต่อปีในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
ส่วนกรณีการระบาดของเชื้อ COVID-19 คาดว่าจะส่งกระทบต่ออัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสารของบริษัทในระยะสั้น ทริสเรทติ้งมีสมมติฐานว่าการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 จะสามารถควบคุมได้ภายในระยะเวลา 3 ถึง 6 เดือน พร้อมทั้งคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนจะลดลงอย่างมากในปี 2563 โดยเฉพาะในประเภทที่เป็นการท่องเที่ยวแบบกลุ่ม (กรุ๊ปทัวร์) เพื่อลดผลกระทบจากความต้องการเดินทางที่ลดลง บริษัทจึงได้มีการระงับเที่ยวบินและปรับลดความถี่ของเที่ยวบินที่บินไปประเทศจีนในบางเส้นทางลง เนื่องจากในเวลาปกตินั้น จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนมีสัดส่วนคิดเป็น 19% ของจำนวนผู้โดยสารทั้งหมดของบริษัท จึงคาดว่าอัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสารของบริษัทจะลดลงเหลือ 83% ในปี 2563 จาก 85% ในปี 2562
ทริสเรทติ้งคาดว่าความต้องการเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวจีนจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสสามารถควบคุมได้และการเดินทางระหว่างประเทศกลับมาสู่ภาวะปกติ ภายใต้สมมติฐานนี้ ทริสเรทติ้งประมาณการอัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสารของบริษัทจะฟื้นตัวกลับมาอยู่ที่ระดับ 85% ในปี 2564 ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอื่น ๆ ก็คาดว่าจะเติบโตในระดับปานกลาง
อย่างไรก็ตามมองว่าบริษัทได้รับประโยชน์จากการผสานธุรกิจกับกลุ่มแอร์เอเชียในการรวมกลุ่มกันจัดซื้อเครื่องบินและการจัดซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงแบบประกันราคาล่วงหน้าซึ่งเป็นการเพิ่มอำนาจในการต่อรองเพื่อการประหยัดต้นทุน นอกจากนี้ บริษัทยังได้ประโยชน์จากการดำเนินงานและเครือข่ายการตลาดของกลุ่มแอร์เอเชียอีกด้วย กล่าวคือ กลุ่มแอร์เอเชียมีสมาชิกซึ่งเป็นสายการบินที่ให้บริการใน 6 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ อินเดีย และญี่ปุ่น โดยครอบคลุมจุดหมายปลายทางมากกว่า 130 แห่งในภูมิภาคเอเชียและเอเชียแปซิฟิก ทั้งนี้ บริษัทใช้ระบบการจองตั๋วเครื่องบินเช่นเดียวกับกลุ่มแอร์เอเชียซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถจองตั๋วเที่ยวบินที่จะต่อไปยังจุดหมายปลายทางอื่น ๆ ที่ให้บริการโดยกลุ่มแอร์เอเชียได้อย่างสะดวกและคล่องตัว
ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปในปี 2562-2563 แต่จะปรับตัวดีขึ้นในปี 2564 โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่า 5 เท่าในช่วงปี 2562 ถึงปี 2563 เนื่องจากอัตราการทำกำไรของบริษัทที่อ่อนตัวลง โดยอัตราส่วนดังกล่าวน่าจะปรับตัวดีขึ้นเป็นประมาณ 4.5 เท่าในปี 2564 ตามการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานของสายการบิน ทั้งนี้ ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงจำนวนเครื่องบินไว้ที่ประมาณ 60 ลำและจะมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนคงอยู่ในระดับที่สูงกว่า 80%
อย่างไรก็ตามทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะยังคงมีสภาพคล่องที่เพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ณ เดือนกันยายน 2562 บริษัทมีเงินสดและสินทรัพย์สภาพคล่องจำนวน 2.5 พันล้านบาทและยังมีวงเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินอีกจำนวน 1.4 พันล้านบาท โดยบริษัทจะได้รับเงินสดจำนวน 2.7 พันล้านบาทจากธุรกรรมการขายและเช่ากลับเครื่องบินจำนวน 10 ลำ โดยแหล่งเงินทุนเหล่านี้จะเพียงพอต่อแผนการใช้จ่ายของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทมีภาระที่จะต้องชำระคืนเงินกู้ที่จะครบกำหนดชำระภายใน 12 เดือนข้างหน้าซึ่งประกอบด้วยเงินกู้ระยะยาวจำนวน 2.5 พันล้านบาทและภาระหนี้ระยะสั้นอีกจำนวน 1.8 พันล้านบาท ในขณะที่ในปี 2563 บริษัทมีงบลงทุนจำนวนราว ๆ 1.3 พันล้านบาท
ข้อกำหนดทางการเงินของวงเงินกู้ยืมบางแห่งระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่า 4 เท่าและอัตราส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่า 3 เท่า จากการคาดการณ์ถึงผลประกอบการที่จะอ่อนตัวลงก็อาจส่งผลทำให้บริษัทไม่สามารถดำรงสัดส่วนทางการเงินตามข้อกำหนดดังกล่าวได้ในปี 2563 อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งก็ยังคาดว่าบริษัทจะได้รับการผ่อนปรนข้อกำหนดทางการเงินจากผู้ให้สินเชื่อในกรณีที่บริษัทไม่สามารถดำรงสัดส่วนทางการเงินได้ตามข้อกำหนด