TU ตั้งเป้ากำไร’67 โต 17-18% ทุ่มลงทุนอาหารพร้อมทาน-สัตว์เลี้ยง

HoonSmart.com>>ไทยยูเนี่ยน ตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้นปี’67 โต 18% รายได้ 6 บริษัทโต 4% ลงทุน 4,500 ล้านบาท เน้นอาหารคน-สัตว์เลี้ยง ไตรมาสแรกทำใจยอดขายแผ่ว คาดกระเตื้องไตรมาส 2

น.ส.ภิญญดา แสงศักดาหาญ หัวหน้าฝ่ายลงทุนสัมพันธ์ บริษัทไทยยูเนี่ยนกรุ๊ป (TU) เปิดเผยแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2567 คาดเติบโตประมาณ 4% จากช่วงเดียวกันของปี 2566 โดยในมุมมองของนักลงทุนในตลาดหุ้นอาจจะมองว่ามีการเติบโตได้น้อยกว่าความคาดหวังของตลาด แต่ในมุมของบริษัทต้องการตั้งประมาณการอย่างระมัดระวังหรือคอนเซอร์เวทีฟ เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

สำหรับ การเติบโตที่ 4% มาจากการที่บริษัทคาดว่า 1.รายได้จากการที่ราคาวัตถุดิบมีการลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 ปัจจุบันราคาของปลาทูน่าซึ่งถือเป็นวัตถุดิบหลักอยู่ราวๆ 1,700 -1,750 ดอลลาร์/ตัน จากปี 2566 ที่อยู่ราว 1,780 ดอลลาร์/ตัน ทำให้ราคาขายของบริษัทลดลงไปด้วย

2.อัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้ในการประมาณการณ์การขายปี 2567 อยู่ที่ 33.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ  แต่สถานการณ์ในปัจจุบันค่าเงินบาทมีการอ่อนตัวจากระดับที่ตั้งไว้ ซึ่งจะเป็นผลพวงที่ดีต่อธุรกิจในอนาคต

3.การตัดสินใจปรับลดขนาดธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแช่แข็ง แช่เย็น ในสหรัฐอเมริกา ทำให้รายได้จะมีการลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญจากเดิมในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจแช่แช็งมีการขยายตัวอยู่ในราวๆ 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สิ้นปี 2566 ขนาดของธุรกิจดังกล่าวลงมาอยู่ที่ 600-700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม การลดขนาดของธุรกิจช่วยสร้างสมดุลทางด้านรายได้ ในขณะเดียวกันจะทำให้ตัวอัตรา profit margin ของบริษัทจะค่อยๆปรับตัวดีขึ้น

“ดังนั้น จึงเป็นที่มาของการตั้ง Gross profit margin หรืออัตรากำไรขั้นต้น ไว้ราว 17.0 – 18.0% เมื่อเทียบกับปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ 17.7%”น.ส.ภิญญดา กล่าว

น.ส.ภิญญดา กล่าวว่า ด้าน SG&A to sales ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 11.0 – 12.0% โดยปีนี้จะมีการทำมาร์เก็ตติ้งต่างๆ เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ SG&A เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

ขณะที่ การลงทุน (CAPEX) ปีนี้ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 4,000 – 4,500 ล้านบาท เน้นการลงทุนในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าเป็นหลัก เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูง ซึ่ง CAPEX ปีนี้ต่ำกว่าช่วง 2-3 ปีก่อนหน้าที่มีการลงทุนปีละ 5,000-6,000 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาบริษัทมีการลงทุนธุรกิจในธุรกิจต่างๆ ไว้ครบตามที่ต้องการ ทำให้กำลังการผลิตในปัจจุบันมีเพียงพอในทุกหน่วยธุรกิจ

ด้าน Effective interest rate Increase คาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 0 – 0.5%
สุดท้าย มีการตั้งเป้าจ่ายปันผลอย่างน้อย 50% ของ pay out ratio โดยหลายปีที่ผ่านมาบริษัทได้จ่ายปันผลในอัตราที่สูงกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้ โดยอยู่ในราวๆ 58%

“ผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปีนี้จะมีการอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสต่อไตรมาส เพราะว่าในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2556 ลูกค้ามีการซื้อวัตถุดิบสต๊อคเอาไว้แล้ว อย่างไรก็ตามคิดว่าตั้งแต่ไตรมาสที่ 2เป็นต้นไปรายได้จะดีขึ้นเรื่อยๆ”น.ส.ภิญญดา กล่าว

น.ส.ภิญญดา กล่าวว่า สำหรับการถอนเงินลงทุนในบริษัทเรด ล็อบสเตอร์ (Red Lobster หรือ RL)ในสหรัฐอเมริกา ได้รับรู้ผลขาดทุนแล้วในสิ้นปี 2566 ซึ่งจะกระทบงบการเงินจนถึงไตรมาส 1 ปีนี้ แต่หลังจากนั้นจะไม่กระทบกับผลการดำเนินงานอีก ซึ่งขั้นตอนนับจากนี้จะมีการหานักลงทุนมาซื้อเงินลงทุนของ RL คาดว่าคงต้องใช้เวลาระยะหนึ่งอาจจะภายในสิ้นปีนี้

สำหรับ การร่วมทุนหรือ M&A ในปีนี้จะมีการชะลอลงบ้าง แต่บริษัทก็ยังมีการศึกษาความเป็นไปได้ โดยจะโฟกัสไปที่ธุรกิจ PetCare business กับ ธุรกิจ Culinary business มุ่งที่อาหารพร้อมรับประทาน ติ๋มซำและเบเกอรี่

ทั้งนี้ ปี 2567 บริษัทฯยังเดินหน้าโครงการซื้อหุ้นคืนอีก 200 ล้านหุ้น หรือเป็นเงินไม่เกิน 3,600 ล้านบาท ช่วงวันที่ 20 ก.พ.ถึงมิถุนายน 2567 โดยรอบแรกซื้อไปแล้วเมื่อวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา 70 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ย 14.6 บาทต่อหุ้น ส่วนปี 2566 มีการซื้อหุ้นคืนเกือบ 3,000 ล้านบาท รวม 200 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 14.88 บาทต่อหุ้น

สำหรับหุ้น TU ปิดวันที่ 25 มี.ค.2567 ที่ 14.20 บาท ลดลง 0.10 หรือลดลง 0.70% จากวันก่อน มูลค่าการซื้อขาย 204 ล้านบาท