ITC กำไรปี’66 รวม 2,281 ล้านบ. ไตรมาส 4 โต 19% ออเดอร์เพิ่มทั่วโลก

HoonSmart.com>>”ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น”(ITC) กำไรสุทธิไตรมาส 4/66 ที่ 767 ล้านบาท โต 19% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และโต 13% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 65 โดยมีรายได้จากยอดขายรวมที่ 4,748 ล้านบาท โต 19% ผลจากปริมาณการสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้าแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำเพิ่มขึ้นในหลายภูมิภาคทั่วโลก ทำให้บริษัทฯ มีรายได้จากยอดขายรวมทั้งปี 66 อยู่ที่ 15,577 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,281 ล้านบาท จ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลัง 0.35 บาทต่อหุ้น พร้อมมุ่งมั่นรักษาอัตราการเติบโตเฉลี่ยของยอดขายรวมที่ 15% ต่อปี ในปี 66-68

นายพิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น (ITC) กล่าวว่า “ตลอดทั้งปี 66 ธุรกิจการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลกต้องเผชิญกับความท้าทาย ซึ่งเป็นผลจากแรงกดดันจากภาคอุตสาหกรรมและการระบายสินค้าคงคลังจากกลุ่มแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำระดับโลก ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้การดำเนินธุรกิจของไอ-เทลมีปริมาณคำสั่งซื้อจากลูกค้าลดลงตลอดช่วงครึ่งปีแรก อย่างไรก็ตาม เรามองเห็นสัญญาณการฟื้นตัวจากปริมาณการสั่งซื้อจากลูกค้าที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามลำดับตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 3 ทำให้บริษัทฯ มีรายได้เพิ่มมากขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี แต่ยังคงต่ำกว่ายอดขายรวมของปี 65 ที่สูงกว่าระดับปกติ โดยบริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจที่สอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยง”

“แม้ว่าต้องเผชิญกับอุปสรรคและช่วงเวลาที่ท้าทายในปี 66 สำหรับไอ-เทล ปัจจัยดังกล่าวที่เข้ามากระทบการดำเนินธุรกิจ ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ทำให้เราได้เรียนรู้และมีประสบการณ์ในการปรับตัวได้ดีมากยิ่งขึ้น ด้วยการเร่งสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก ปรับกระบวนการทำงานและการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาสินค้าและบริการของเราให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั่วโลกและรองรับการเติบโตอย่างรวดเร็วของเทรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบพรีเมี่ยมและรูปแบบ Humanization ในหลายภูมิภาคทั่วโลก อีกทั้ง บริษัทฯ ยังเดินหน้าศึกษาและพัฒนาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์กลุ่มเสริมอาหาร (Supplement) สำหรับสัตว์เลี้ยง โดยวางเป้าหมายการเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาดภายในปี 68”

ในปี 66 ไอ-เทลได้ก่อตั้งบริษัทในเครือภายใต้ชื่อ i-Tail Europe B.V. (ITE) ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ และ i-Tail Pet Food (Shanghai) Limited Co. (ITS) ที่ประเทศจีน เพื่อเดินหน้ากลยุทธ์ขยายการดำเนินธุรกิจและเร่งสร้างการเติบโตสู่ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในทวีปยุโรปและประเทศจีน อีกทั้ง บริษัทฯ ยังประสบความสำเร็จในการเซ็นสัญญาทางธุรกิจร่วมกับลูกค้ารายใหม่ทั่วโลกเพิ่มขึ้นอีก 31 ราย ซึ่งรวมถึงลูกค้าแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงรายใหญ่ในสหรัฐฯ อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทฯ ยังขยายการดำเนินธุรกิจสินค้า Private Label กับบริษัทผู้ค้าปลีกรายใหญ่ในฝรั่งเศส และมีรายได้จากคำสั่งซื้อสินค้า Private Label จากหนึ่งในบริษัทผู้ค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ในปี 66

นอกจากนี้ ไอ-เทลยังยกระดับมาตรฐานการดำเนินธุรกิจไปอีกขั้นด้วยการเปิดตัวศูนย์วิจัยอาหารแมว (i-Cattery) ตั้งอยู่ ณ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขต ศาลายา ในช่วงกลางปี 66 ด้วยความตั้งใจในการเป็นศูนย์กลางสำหรับความร่วมมือด้านการวิจัยร่วมกับภาคการศึกษา ลูกค้า พันธมิตรทางธุรกิจ และภาคส่วนต่างๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันและสร้างการยอมรับในเวทีระดับโลกถึงผลิตภัณฑ์อาหารแมวของไอ-เทลที่มีคุณภาพ ปลอดภัย รับรองด้วยมาตรฐานการวิจัยระดับสากล อีกทั้ง บริษัทฯ เดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจด้วยการสร้างโรงงานแห่งใหม่ในจังหวัดสมุทรสาครตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 ด้วยเป้าหมายการขยายกำลังการผลิตสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและขนมทานเล่นสำหรับสัตว์เลี้ยงแบบเปียกเพิ่มขึ้นอีก 18.7 เปอร์เซ็นต์ ด้วยระบบการผลิตแบบอัตโนมัติ (Automation) ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มต้นการผลิตภายในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้

ทั้งนี้ ยอดขายของไอ-เทลในปี 2566 มีสัดส่วนของยอดขายตามภูมิภาคดังนี้ สหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 50 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด ในขณะที่เอเชียและโอเชียเนียอยู่ที่ 37 เปอร์เซ็นต์และยุโรปอยู่ที่ 13 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้ง สามารถแบ่งสัดส่วนของยอดขายตามประเภทของสินค้าหลัก 3 ประเภท ได้แก่ อาหารแมว 70 เปอร์เซ็นต์ อาหารสุนัข 15 เปอร์เซ็นต์ ขนมทานเล่นของสัตว์เลี้ยง 12 เปอร์เซ็นต์ และธุรกิจอื่นๆ อีก 3 เปอร์เซ็นต์ และได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่และสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงคุณภาพสูงออกสู่ตลาดมากกว่า 1,300 รายการ

ไอ-เทล ยังคงมุ่งมั่นการดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาความยั่งยืนที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ SeaChange® 2030 โดยภายในปี 73 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการจัดซื้อวัตถุดิบในกลุ่มของเนื้อไก่ทั้งหมดจากแหล่งผลิตที่มีความรับผิดชอบ รวมถึงวัตถุดิบในกลุ่มถั่วเหลืองและน้ำมันถั่วเหลืองทั้งหมดต้องมาจากกระบวนการผลิตที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำลายป่าไม้อีกด้วย

“ในปี 66 แม้ว่าไอ-เทลจะสามารถก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ มาได้ แต่เรายังคงไม่หยุดยั้งการพัฒนาความสามารถและความเชี่ยวชาญของเราในการเป็นผู้นำในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำระดับโลก และยังคงดำเนินธุรกิจตามเป้าหมายการรักษาอัตราการเติบโตเฉลี่ยของยอดขายรวมที่ 15 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ระหว่างปี 2566 ถึง 2568 รวมถึงการเป็นกำลังสำคัญเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต” นายพิชิตชัย กล่าว