TOP ชูกำไร 19,443 ลบ.แจกปันผล 2.75 บาท/หุ้น

HoonSmart.com>>”ไทยออยล์ ” (TOP) เปิดกำไรปี 66 จำนวน 19,443 ล้านบาท เจอขาดทุนสต๊อกพลิกจากปีก่อนกำไร  มีกระแสเงินสด 28,432 ล้านบาท บอร์ดอนุมัติจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น 2.75 บาท/หุ้น ขึ้น XD วันที่  27 ก.พ. 2567  คิดเป็นผลตอบแทนประมาณ 4.87% 

นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ (TOP) เปิดเผยผลงานปี 2566 มีกำไรสุทธิ 19,443 ล้านบาทหรือ 8.70 บาทต่อหุ้น ลดลงจำนวน 13,225 ล้านบาทหรือประมาณ 40.48%จากช่วงเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ 32,668 ล้านบาทหรือ 15.63 บาทต่อหุ้นเพราะมีขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันก่อนภาษี จำนวน 808 ล้านบาท พลิกจากที่มีกำไรสต๊อกถึง 3,613 ล้านบาท

สำหรับกำไรเฉพาะไตรมาสที่ 4/2566 มีกำไรสุทธิ 2,944 ล้านบาท ลดลงจำนวน 7,884 ล้านบาทหรือ 72.81%เทียบกับไตรมาสที่ 3 ที่มีกำไรสุทธิ 10,828 ล้านบาท เพราะมีขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันก่อนภาษีจำนวน 5,178 ล้านบาท เทียบกับที่มีกำไรสต๊อกน้ำมันจำนวน 9,638 ล้านบาท และมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มรวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 3.6 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ลดลง 19.7 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มีปริมาณวัตถุดิบที่ป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตของกลุ่มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

ในไตรมาสที่ 4 มีรายได้จากการขาย 115,336 ล้านบาท ลดลง 4,320 ล้านบาท ตามราคาขายผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง เนื่องจากอุปทานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นของหลายผลิตภัณฑ์และมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 8.6 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ลดลง 5.0 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลจากไตรมาสที่ผ่านมา สาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับราคาน้ำมันดิบดูไบเกือบทุกผลิตภัณฑ์ลดลงจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นภายหลังโรงกลั่นหลายแห่งที่ปิดซ่อมบำรุงในไตรมาส 3 เริ่มทยอยกลับมาเปิดดำเนินการ

อย่างไรก็ดี ตลาดสารอะโรเมติกส์ปรับตัวดีขึ้น จากทั้งส่วนต่างราคาสารพาราไซลีนและส่วนต่างราคาสารเบนซีนกับน้ำมันเบนซิน 95 เพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการสิ่งทอและเสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาว รวมถึงความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์เครื่องดื่ม (PET) ที่ปรับสูงขึ้นในช่วงปีใหม่ อีกทั้ง ส่วนต่างราคาน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานกับน้ำมันเตาปรับตัวดีขึ้น  รวมถึงส่วนต่างราคายางมะตอยกับน้ำเตาที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันเตาที่ปรับลดลงในช่วงปลายปี ทั้งนี้ราคาน้ำมันดิบลดลง จากความต้องการใช้น้ำมันปรับตัวลดลงจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง และเศรษฐกิจจีนเติบโตช้ากว่าคาดการณ์

“ในไตรมาสที่ 4 กลุ่มไทยออยล์มี EBITDA 3,681 ล้านบาท ลดลง 15,292 ล้านบาท โดยมีผลกำไรจากเครื่องมือทางการเงินจำนวน  1,700 ล้านบาท เทียบกับผลขาดทุนจำนวน 2,028 ล้านบาทนอกจากนี้ยังมีผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 1,175 ล้านบาท พลิกจากขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ517 ล้านบาทในไตรมาส 3  ”

ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 กลุ่มไทยออยล์มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 28,432 ล้านบาท มีกระแสเงินสดใช้ไปในกิจกรรมลงทุน 19,692 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากเงินสดจ่ายเพื่อซื้อที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ จำนวน 14,504 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project) ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง

นอกจากนี้มีกระแสเงินสดใช้ไปในกิจกรรมจัดหาเงิน 23,072 ล้านบาทมีสาเหตุหลักจากการมีเงินสดจ่ายสุทธิจากเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินทั้งระยะสั้นและระยะยาวรวม 2,309 ล้านบาท และมีการออกหุ้นกู้ใหม่เป็นเงินสดจำนวน 10,000 ล้านบาท รวมถึงมีเงินสดจ่ายเพื่อไถ่ถอนหุ้นกู้จำนวน 16,381 ล้านบาท ในขณะที่มีการจ่ายปันผลรวม 5,268 ล้านบาท ประกอบกับการจ่ายเงินสดต้นทุนทางการเงินรวม 7,653 ล้านบาท ทำให้มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดลดลงสุทธิ 14,676 ล้านบาทจากสิ้นปี 2565

ด้านคณะกรรมการบริษัทไทยออยล์ มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลหุ้นละ 2.75 บาท ให้แก่ผู้ถือหุ้นที่มีชื่อในทะเบียนวันที่ 28 ก.พ.และขึ้น XD วันที่  27 ก.พ. 2567 กำหนดจ่ายเงินวันที่  30 เม.ย. 2567   ทั้งนี้ คิดเป็นอัตราผลตอบแทนเงินปันผลประมาณ 4.87% เทียบกับราคาหุ้น TOP ปิดที่ 56.50 บาท วันที่ 14  ก.พ. 2567