IVL กำไร Q3/66 วูบเหลือ 195 ลบ. คาดปี 67 พลิกดีขึ้น

HoonSmart.com>> “อินโดรามา เวนเจอร์ส” (IVL) กำไรไตรมาส 3/66 วูบเหลือ 195 ล้านบาท ยอดขายลดลงผลกระทบเศรษฐกิจโลกอ่อนแอ จีนฟื้นตัวช้ากว่าคาด ส่วนงวด 9 เดือนกำไร 1,630 ล้านบาท คาดปี 67 ดีขึ้น

บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2566 มีกำไรสุทธิ 195.46 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.00 บาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 8,137.08 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.42 บาท

ส่วนงวด 9 เดือน ปี 2566 มีกำไรสุทธิ 1,629.99 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.19 บาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 42,484.87 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 7.47 บาท

บริษัทฯ มี EBITDA เท่ากับ 324 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ 3 ปี 2566 เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส และลดลง 37% เมื่อเทียบปีต่อปี โดยได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และภาวะชะงักงันในตลาดโลกอย่างต่อเนื่องภายหลังการแพร่ระบาด ทั้งนี้ ปริมาณการขายลดลง 5% จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 3.6 ล้านตัน เนื่องจากการฟื้นตัวของประเทศจีนหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดยืดเยื้อกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมถึงการขยายระยะเวลาในการระบายสต๊อกในภาคการผลิตและอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ที่ยังคงปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติจากระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในปีที่ผ่านมา

ฝ่ายบริหารยังคงให้ความสำคัญกับการรักษากระแสเงินสด ตระหนักถึงการพัฒนาประสิทธิผล และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในฐานการผลิตของบริษัทฯ เพื่อเพิ่มผลกำไร ความพยายามเหล่านี้ส่งผลให้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวกเท่ากับ 410 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสดังกล่าว โดยมีกระแสเงินสดอิสระเป็นบวกจำนวน 79 ล้านเหรียญสหรัฐนับจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน และเพียงพอสำหรับการลดเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มเติมในอนาคต ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงอันดับเครดิตที่ระดับ AA- พร้อมคงแนวโน้มอันดับเครดิตคงที่จากทริสเรทติ้งในไตรมาสนี้

บริษัทฯ คาดว่าสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2567 ด้วยสถานการณ์ระบายสต็อกสินค้าของลูกค้าปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในทั้งสามกลุ่มธุรกิจของอินโดรามา เวนเจอร์ส นอกจากนี้ การเร่งโครงการขยายของกลุ่มธุรกิจ PET และกลุ่มธุรกิจ Fibers ในประเทศอินเดียและสหรัฐอเมริกา จะส่งผลให้ปริมาณการขายในปี 2567 เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

กลุ่มธุรกิจ Combined PET มี EBITDA เท่ากับ 146 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 25% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส ท่ามกลางอัตรากำไร PET ที่อยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ ราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นในตลาดตะวันตก และผลกระทบที่ยืดเยื้อจากการระบาย สต๊อกสินค้า สำหรับกลุ่มธุรกิจ Integrated Oxides and Derivatives (IOD) มี EBITDA เพิ่มขึ้น 27% เท่ากับ 119 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส โดยได้รับแรงหนุนจากอัตรากำไร MTBE ที่แข็งแกร่งในธุรกิจ Integrated Intermediates

ส่วนความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มผลิตภัณฑ์ Integrated Downstream ได้รับผลกระทบมาจากการระบายสต็อกสินค้า แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และแรงกดดันด้านกำไรจากการนำเข้า

ส่วนกลุ่มธุรกิจ Fibers มี EBITDA เพิ่มขึ้น 140% เท่ากับ 48 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส เนื่องจากปริมาณการขายในกลุ่มผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์เพิ่มขึ้นในตลาดสำคัญในแถบเอเชีย และในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Mobility รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ Hygiene ซึ่งได้รับประโยชน์จากการที่ฝ่ายบริหารให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและการปรับโฟกัสขององค์กร

นายดีลิป กุมาร์ อากาวาล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส กล่าวว่า “ผมมีความยินดีที่จะแจ้งให้ทราบว่าเรากำลังสร้างความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญในการดำเนินงานของทีมบริหารตามที่ได้แจ้งไว้ในไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งในระยะสั้นจะก่อให้เกิดกระแสเงินสดอิสระที่เป็นบวก ในขณะที่ระยะกลาง เราจะสานต่อความพยายามอย่างหนักในการรักษาต้นทุนให้อยู่ในควอไทล์แรก เพื่อให้เกิดความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้น รองรับสถานการณ์ที่คาดว่าจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติในปี 2567 หลังจากที่อุตสาหกรรมเผชิญสภาพแวดล้อมที่ท้าทายในการดำเนินธุรกิจ

“ผมต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องน่าแปลกใจที่ระดับสินค้าคงคลังทั่วโลกยังไม่กลับเข้าสู่ระดับที่ดีที่สุด ซึ่งรวมถึงคลังสินค้าของเราเองด้วย เนื่องด้วยห่วงโซ่คุณค่าในกลุ่มธุรกิจของเราได้รับผลกระทบจากต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น เรากำลังปรับการดำเนินธุรกิจของเราทั่วโลกให้สามารถตอบสนองสภาวะอุปสงค์อุปทานและกระแสการค้าที่คาดการณ์ไว้ เพื่อให้มั่นใจว่าเราจะสามารถนำเสนอสินค้าที่น่าเชื่อถือและแข่งขันได้อย่างต่อเนื่อง และส่งเสริมให้สามารถนำเสนอโซลูชั่นเพื่อความยั่งยืนที่ดีที่สุด”นายดีลิป กล่าว