“เดอะ พรอดดิจี” ตัวแรกเข้าตลาด LiVEx ปีนี้

HoonSmart.com >> เดอะ พรอดดิจี (PDIGY23) ผู้นำด้าน IT Outsourcing เตรียมระดมทุนเข้าตลาด LiVEx ตัวแรกของปีนี้ รองรับการขยายธุรกิจครั้งใหญ่ ชูศักยภาพแกร่ง แก้เพนพ้อยท์องค์กร มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่เกรดพรีเมียม มั่นใจเติบโตสูง ตั้งเป้า มุ่งเข้าตลาด mai ปี 2026

 

น.ส.ขวัญตา สุดแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะ พรอดดิจี (ประเทศไทย)  หรือ PDIGY23 เปิดเผยว่า  บริษัท ฯ เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVE Exchange : LiVEx) โดยยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลเพื่อเสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ต่อคณะกรรมการกำกับและดูแลหลักทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมา และเริ่มนับหนึ่งไฟลิ่งแล้ว และเตรียมโรดโชว์กับกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ และกองทุน Private Equity ที่ลงทุนในกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี และที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยี

บริษัท ฯ มีทุนชำระแล้ว 10 ล้านบาท มีแผนเพิ่มทุนเป็น 11.5 ล้านบาท โดยขายหุ้นต่อประชาชน (IPO) จำนวน 3 ล้านหุ้น คิดเป็น 13.04% ของหุ้นสามัญทั้งหมด ซึ่งภายหลัง IPO จะมีจำนวน 23 ล้านหุ้น

การระดมทุนครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ เพิ่มสภาพคล่องเงินทุนหมุนเวียน และเพื่อพัฒนาโครงการในอนาคต รวมถึงพัฒนาระบบ IT และแพลตฟอร์มเพื่อช่วยบริหารจัดการงานด้าน Outsourcing เพื่อรองรับแผนการขยายธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงให้กับธุรกิจในระยะยาว โดยมี บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) เป็นผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์

บริษัท ฯ มีวิสัยทัศน์ ก้าวสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศแบบครบวงจร เพื่อพัฒนาความสามารถ และเปิดโอกาสทางธุรกิจของคู่ค้า ด้วยเทคโนโลยีที่มีมาตรฐานในระดับสากล ไปสู่ความก้าวหน้าอย่างไม่มีข้อจำกัด

PDIGY23 มีจุดเด่นหลายประการ คือ 1.เป็นผู้นำด้านการให้บริการเอาท์ซอสซิ่งจัดหาผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศแบบครบวงจร 2.ผู้บริหาร และทีมงานมีประสพการณ์ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีในระดับภูมิภาค มากกว่า 20 ปี ปี 3.มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ ประกอบด้วย กลุ่มธนาคารพานิชย์ชั้นนำ กลุ่มบริษัทประกันภัย กลุ่มบริษัทโทรคมนาคม กลุ่มธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ รวมถึงกลุ่มบริษัทระดับโลกที่มีสาขาในประเทศไทย

4. มีบุคคลากรและเทคโนโลยีรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี โดยในช่วง 2 ปีนี้ คาดว่าเศรษฐกิจจะกลับมาเติบโตตามแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และการขยายตัวของธุรกิจท่องเที่ยว E-Commerce และ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ทำให้ธุรกิจของบริษัทฯ มีโอกาสจะเติบโตสูง เนื่องจากการเพิ่มการให้บริการลูกค้าเดิมและการให้บริการลูกค้ารายใหม่ในธุรกิจธนาคาร ประกันภัย และขยายไปกลุ่มธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจค้าปลีก, ธุรกิจโทรคมนาคม

“ปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้รวม 64 ล้านบาทเศษ   เพิ่มขึ้น 12.21%  เทียบกับปีก่อนที่มีรายได้ รวม 57.96 ล้านบาท  ซึ่งมีกลยุทธ์ขยายธุรกิจ เพิ่มยอดขายในกลุ่มลูกค้าเดิม รวมถึงขยายการให้บริการไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ และมีกำไรสุทธิ  5.14 ล้านบาท  เทียบกับปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ  5.69 ล้านบาท  มีอัตรากำไรขั้นต้น 26-28% และ อัตรากำไรสุทธิ 8-10% บริษัทฯ มีการเพิ่มบุคลลากรเพื่อรองรับการขยายธุรกิจอย่างก้าวกระโดด และมีการเปลี่ยนแปลงย้ายสำนักงานใหม่ ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการเตรียมตัวเพื่อระดมทุน โดยบริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้น 26-28% และ มีอัตรากำไรสุทธิ 8-10%” ผู้บริหาร กล่าว