BKI ยืนยัน BKIH โอกาสธุรกิจดี คาดปันผลไม่ต่ำกว่าเดิม-รายได้อื่นเพิ่ม

HoonSmart.com>>กรุงเทพประกันภัย (BKI)ประกาศจัดตั้ง “บีเคไอโฮลดิ้งส์ หรือ BKIH”เตรียมจัดทำคำเสนอซื้อหุ้นในอัตรา 1 ต่อ 1 พร้อมนำเข้าจดทะเบียน จากนั้นถอด BKI ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ยันผู้ถือหุ้นโฮลดิ้งจะได้รับเงินปันผลไม่ต่ำกว่าเดิม-เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนในธุรกิจที่หลากหลาย

นายอภิสิทธิ์ อนันนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทกรุงเทพประกันภัย (BKI) เปิดเผยว่า ความท้าทายใหม่ที่เกิดอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริการของธุรกิจการเงินในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยยะสำคัญ ส่งผลให้วิถีการใช้ชีวิตและพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว บริษัทที่ทำธุรกิจมา 76 ปี เห็นความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการทำธุรกิจเพื่อรับมือกับความท้าทายที่ผลิกผัน ด้วยการจัดตั้ง บริษัท บีเคไอ โฮลดิ้ง (BKIH) เพื่อประกอบธุรกิจเป็นบริษัทลงทุน จะได้ขยายศักยภาพด้านการลงทุนสู่ธุรกิจอื่น เปิดโอกาสให้มีผู้ร่วมทุนและพันธมิตรทางธุรกิจที่หลากหลาย สร้างประโยชน์ให้แก่นักลงทุนอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยยังคงทำธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจประกันภัย และจะขยายไปทำธุรกิจอื่นๆ ซึ่งในช่วงแรกธุรกิจอื่นๆ จะเน้นไปที่ธุรกิจเสริมการทำธุรกิจประกันภัยให้แข็งแกร่ง เช่น บริษัทเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับประกันภัย

ทั้ง BKIH จะออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน เพื่อแลกกับหุ้นสามัญของ BKI ในอัตราเท่ากับ 1 หุ้นสามัญของ BKI ต่อ 1 หุ้นสามัญของ BKIH ซึ่งปัจจุบันได้ทำการจัดตั้งบริษัทแล้วเมื่อวันที่ 11 ก.ย.2566 หุ้นละ 10 บาท จะทำการยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) จะต้องทำคำเสนอซื้อหุ้นคืนภายใน 45 วัน โดยผู้ที่เข้าร่วมแลกเปลี่ยนหุ้นหรือตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์จาก BKIH จะไม่ต้องเสียภาษี หลังทำคำเสนอซื้อเสร็จ จะนำ BKI ออกจากตลาดหุ้น และนำ BKIH เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 2 ปี 2567 ผู้ที่ยังถือหุ้น BKI อยู่จะไม่มีราคาตลาดให้อ้างอิง หากต้องการขายภายหลังจะต้องรับภาระภาษีบุคคลธรรมดา จึงอยากแนะนำผู้ถือหุ้นให้ใช้สิทธิแลกหุ้นภายในระยะเวลาที่กำหนด

“ยืนยันว่า ผู้ที่เปลี่ยนมาถือหุ้น BKIH จะได้รับเงินปันผลไม่ต่ำกว่าที่เคยได้รับจาก BKI ซึ่งปีที่ผ่านมาจ่ายปันผลประมาณ 15 บาทต่อหุ้น และจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากการขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆของ BKIH ในอนาคตด้วย”นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ภายใน 2 ปีแรก BKIH จะยังไม่ขยายการลงทุนใหม่ๆ จะมีโครงสร้างทางธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจประกันภัย สัดส่วนไม่น้อยกว่า 75% ของสินทรัพย์รวม ซึ่งประกอบด้วย ธุรกิจประกันวินาศภัยในไทย ธุรกิจประกันภัยในต่างประเทศ และ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจประกันภัย

ทั้งนี้ ในช่วง 2 ปีแรกจะยังไม่ลงทุนใหม่ๆ เพราะรอหลายๆ ปัจจัยมีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งเรื่องภาวะสงครามที่กำลังตึงเครียดซึ่งนักวิเคราะห์จากทั่วโลกต่างชี้ว่าเป็นความเปราะบาง ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ราคาน้ำมันมีการปรับตัวสูงขึ้นและมีทีท่าว่าจะยังสูงอยู่ ภาวะเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง อัตราดอกเบี้ยสูงและมีทีท่าว่าจะปรับขึ้นอีก คาดว่าปลายๆ ปี 2568 น่าจะเริ่มเห็นการลงทุนใหม่ๆ ของ BKIH

“เราจะใช้ช่วงเวลานี้ในการศึกษาความคุ้มทุนของการขยายกรอบการทำธุรกิจใหม่ๆ การลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีเอไอ ที่จะมาเสริมการทำธุรกิจประกันภัยในอนาคต เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าในยุคดิจิทัล ให้เกิดประสบการณ์ที่สะดวกรวดเร็วและง่ายต่อการใช้งานด้วยรูปแบบ Zero-Touch Customer Experience เพราะการปรับโครงสร้างองค์กรและการพัฒนาต่างๆ ก็เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้น”นายอภิสิทธิ์ กล่าว

สำหรับราคาหุ้น BKI วันที่ 3 ต.ค.2566 ปิดที่ 312 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขายรวม 9.09 ล้านบาท