“PwC ไทย” ชี้แบงก์ปรับสู่ดิจิทัลไม่สำเร็จ แนะเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ พัฒนาบุคลากร

HoonSmart.com>>PwC ประเทศไทย เผยธนาคารไทยส่วนใหญ่ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงองค์กรสู่ดิจิทัลได้สำเร็จ แนะกำจัด 4 อุปสรรคสำคัญเพื่อสร้างฐานลูกค้าใหม่ พัฒนาความสามารถด้านเทคโนโลยี-ทักษะของบุคลากร สร้างพันธมิตรทางระบบนิเวศ

น.ส. วิไลพร ทวีลาภพันทอง หัวหน้าสายงานธุรกิจที่ปรึกษา PwC ประเทศไทยและหัวหน้ากลุ่มลูกค้าธุรกิจบริการทางการเงินเชิงกลยุทธ์และการดำเนินงาน PwC South East Asia Consulting กล่าวว่า แม้ว่าภาคธุรกิจธนาคารของไทยจะมีความคึกคักในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและปรับปรุงประสบการณ์การทำธุรกรรมทางการเงินของลูกค้าในช่วงที่ผ่านมา แต่ช่องว่างระหว่างการวางกลยุทธ์ดิจิทัลและการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จยังคงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงองค์กรสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) ไม่คืบหน้าเท่าที่ควร

แนวโน้มดังกล่าว สอดคล้องกับรายงานผลสำรวจ Digital Banking Survey 2023: Southeast Asia landscape ของ PwC ที่ระบุว่า 80% ของธนาคารในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงองค์กรสู่ดิจิทัลได้สำเร็จ
และแม้ว่ามากกว่า 70% ของผู้ตอบแบบสำรวจกล่าวว่า พวกเขามีกลยุทธ์ดิจิทัลที่ชัดเจนแล้วก็ตาม

น.ส. วิไลพร กล่าวว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ภาคธนาคารของไทยมีความกระตือรือร้นในการเปลี่ยนแปลงองค์กรสู่ดิจิทัลโดยในปัจจุบันธนาคารแทบทุกแห่ง รวมถึงธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงิน (Nonbanks) มีการพัฒนาระบบหน้าร้านเพื่อให้บริการลูกค้าซึ่งระบบหน้าร้านนี้ กำลังขยายไปยังลูกค้าทุกกลุ่มครอบคลุมกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กและลูกค้ารายย่อย

นอกจากนี้ ในเดือนส.ค. ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ยังได้เปิดตัวบริการระบบการชำระเงินในภาคธุรกิจ หรือ ‘พร้อมบิส’ (PromptBiz)เพื่อช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถทำธุรกรรมการค้าและการชำระเงิน รวมถึงขอสินเชื่อและบริการทางการเงินอื่น ๆ ในรูปแบบดิจิทัลได้อย่างครบวงจรขึ้น  นอกจากนี้ ธนาคารในประเทศหลายแห่ง ได้จับมือกับพันธมิตรทางระบบนิเวศ (Ecosystem Partner)เพื่อเพิ่มนวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ โดยธนาคารทำหน้าที่เป็นผู้บริหารระบบหน้าร้าน และกระจายผลิตภัณฑ์ของตนไปยังแพลตฟอร์ตของพันธมิตร เช่น การกู้เงิน โอนเงิน และระบบซื้อสินค้าเพื่อสร้างความสะดวกสบายและตอบสนองความต้องการของลูกค้า อีกทั้งเป็นการขยายฐานลูกค้าได้อีกทางหนึ่ง

น.ส. วิไลพร กล่าวว่า ธนาคารไทยยังคงเผชิญกับอุปสรรคสำคัญ 4 ประการในการนำแผนกลยุทธ์ดิจิทัลไปปฏิบัติให้เกิดผลจริง ดังต่อไปนี้
1. ลูกค้าที่ใช้บริการธนาคารยังคงกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มเดิมทำให้การขยายฐานลูกค้าที่มีบัญชีธนาคารหรือใช้บริการของธนาคารอื่น ๆ ยังคงมีข้อจำกัด ทั้งนี้
ธนาคารต่างต้องการสร้างฐานลูกค้าใหม่ และดึงดูดความสนใจของพันธมิตรทางระบบนิเวศยกเว้นกลุ่มที่ยังเข้าไม่ถึงบริการทางการเงินในระบบ (Unserved) และกลุ่มที่ไม่ได้รับที่ดีเพียงพอ (Underserved)ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 18-19% ของประชากรทั้งหมดที่ถือเป็นกลุ่มที่ธนาคารพาณิชย์ให้ความสนใจน้อย

2. ความสามารถด้านเทคโนโลยียังอยู่ในระดับต่ำเนื่องจากการกำหนดและนำกลยุทธ์ดิจิทัลไปใช้ให้เกิดผลลัพธ์ต้องอาศัยความเข้าใจในเทคโนโลยี
ซึ่งนอกเหนือจากอุปสรรคในด้านดังกล่าวแล้วการมีเทคโนโลยีที่ไม่ทันสมัยก็ถือเป็นความท้าทายของธนาคารหลายแห่งและจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงชุดเทคโนโลยีที่ใช้พัฒนาบริการ โดยอาจนำระบบทั้งหมดขึ้นคลาวด์ เพื่อให้ทันกับเทคโนโลยีของระบบนิเวศและสามารถรองรับการขยายตัวของผู้ใช้งาน

3. บุคลากรขาดทักษะด้านดิจิทัลและความคล่องตัวในการสร้างสรรค์นวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นพนักงานฝ่ายไอทีหรือพนักงานฝ่ายธุรกิจของธนาคาร นอกจากนี้ รูปแบบการดำเนินงานแบบไซโลและซับซ้อนยังถือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ซึ่งธนาคารจะต้องเพิ่มความคล่องตัวขององค์กรให้เทียบเท่าบริษัทเทคโนโลยีที่เปิดตัวบริการและออกสินค้าใหม่ ๆ สู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว

4. มีพันธมิตรและระบบนิเวศที่เกื้อหนุนซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง ที่ผ่านมาธนาคารไทยหลายแห่งมีการจับมือกับพันธมิตร หรือปรับโครงสร้างทางธุรกิจ เช่น ปรับโครงสร้างบริษัทให้เป็นโฮลดิ้งคอมพานี หรือจัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อพัฒนานวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ อย่างไรก็ดีการเลือกพันธมิตรที่ถูกต้องและเหมาะสมกับวิสัยทัศน์และเป้าหมายอีกทั้งการเลือกโมเดลของระบบนิเวศที่ตอบโจทย์ธุรกิจของตนยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญการนำระบบคลาวด์มาใช้งานของธนาคารไทยยังอยู่ในระยะเริ่มต้น

ทั้งนี้ การประยุกต์ใช้ระบบคลาวด์ (Cloud adoption)ถือเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ธนาคารสามารถขับเคลื่อนกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลไปสู่ความสำเร็จโดยรายงานผลสำรวจของ PwC ฉบับนี้ระบุว่า 60% ของธนาคารในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กล่าวว่า มีความสามารถด้านคลาวด์อยู่ในระดับสูง หรือกำลังอยู่ในกระบวนการสร้างความสามารถในด้านดังกล่าว ขณะที่ 30% อยู่ระหว่างการวางแผนและการสำรวจ และมีเพียง 10% ที่ยังไม่ใช้เทคโนโลยีคลาวด์

ขณะที่ในไทย การใช้งานระบบคลาวด์ของธนาคารในไทย ยังคงอยู่ในระยะเริ่มต้น (Early stage)และยังไม่ได้ใช้ระบบคลาวด์อย่างเต็มศักยภาพ
อุปสรรคสำคัญส่วนหนึ่งมาจากการมีแอปพลิเคชันเก่าบนระบบหลักของธนาคารเป็นจำนวนมากจึงทำให้การบูรณาการสู่ระบบใหม่เป็นเรื่องยาก นอกจากนี้ธนาคารยังคงเผชิญกับปัญหาช่องว่างทักษะในการดำเนินงานตามวาระด้านดิจิทัลควบคู่ไปด้วย โดยแบงก์ที่ต้องการใช้คลาวด์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด จำเป็นที่จะต้องมีบุคลาการที่มีทักษะคลาวด์มีการบริหารทรัพยากรบนคลาวด์ที่ดี และมีการจัดการต้นทุนของคลาวด์ และ optimise ให้เต็มที่เพื่อดึงศักยภาพของเทคโนโลยีออกมาใช้ให้เกิดผลอย่างแท้จริง ซึ่งการใช้คลาวด์ ถ้าใช้อย่างไม่ถูกต้องจะยิ่งเกิดค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการไม่ใช้คลาวด์ในหลายกรณี

สำหรับสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้ธนาคารไทยยังคงไม่สามารถใช้งานระบบคลาวด์ได้เต็มศักยภาพเช่นธนาคารบางแห่งได้ลงทุนระบบดาต้า เซ็นเตอร์ ไปแล้วจึงต้องการใช้งานให้คุ้มค่าเสียก่อนและบางแห่งยังคงอยู่ระหว่างการพัฒนาขีดความสามารถด้านคลาวด์ เป็นต้น

นส. วิไลพร กล่าวว่า ในปัจจุบันมีธนาคารไทยเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่มีการย้ายระบบงานบางอย่างขึ้นบนคลาวด์สาธารณะ(Public cloud) เช่น การบริหารลูกค้าสัมพันธ์ แต่ระบบงานสำคัญ ๆ เช่น ระบบหลักของธนาคารยังไม่พบว่ามีรายใดย้ายขึ้นคลาวด์สาธารณะ เนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัย และการปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับ(Regulatory compliance) แต่เชื่อว่าในอนาคตอันใกล้จะมีธนาคารย้ายระบบงานขึ้นคลาวด์สาธารณะมากขึ้น