บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ปักเป้าปีนี้ 1,650 โค้งสุดท้ายแนะหุ้นกำไรโต 5 ตัว

HoonSmart.com>>บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองภาพรวมเศรษฐกิจโลกไตรมาส 4/66 ชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ คาดดอกเบี้ยนโยบายจะคงที่ระดับปัจจุบันที่ 5.4% จนถึงสิ้นปี ส่วนเศรษฐกิจไทยโตเพียง 2.7% ลุ้นปี 67 ขยาย 4.1%  คาดปลายปีนี้เงินไหลเข้าหุ้นไทย รับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เป้าหมายดัชนี 1,650 จุด  รอซื้อแถว 1,500-1,550  หวังผลตอบแทน 5-7% แนะกลยุทธ์ไตรมาส 4 เลือกหุ้นกำไรโตราคาต่ำ เชียร์  AOT  เป้าหมาย  84 บาท  BCH 23  บาท CRC 48  บาท  KCE 61 บาท  KTB  25 บาท แนะโอกาสลงทุนในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ เวียดนาม อินโดนีเซีย

นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์  เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกไตรมาส 4 ปี 2566 คาดว่าจะชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญจากการเผชิญ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.เศรษฐกิจที่จะชะลอตัวอย่างพร้อมเพรียง (Synchronized slowdown) โดยที่ผ่านมาภาคการผลิตทั่วโลก (โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้ว) ที่วัดจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (Manufacturing PMI) หดตัวมาโดยตลอด ผลจากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ ประกอบกับความต้องการสินค้าต่างๆ เริ่มหมดลง ทำให้ภาคการผลิตมีปัญหา และภาคบริการเริ่มมีปัญหาแล้วเช่นเดียวกัน เนื่องจากดอกเบี้ยสูง

2.ดอกเบี้ยสูงยาวนานขึ้น (Higher for longer) ในช่วงที่ผ่านมาเงินเฟ้อในประเทศพัฒนาแล้วลดลงมาพอสมควรจากเงินเฟ้อภาคการผลิตเป็นหลัก อย่างไรก็ตามในระยะต่อไปเงินเฟ้อจะลดลงยากมากขึ้น เนื่องจากเป็นเงินเฟ้อในส่วนภาคบริการ นอกจากนั้นราคาน้ำมันที่เริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นจากการลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ ก็มีส่วนทำให้เงินเฟ้อในระยะต่อไปกดลงได้ยากเช่นเดียวกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น ธนาคารกลางต่างๆ ก็จำเป็นต้องคงดอกเบี้ยยาวนานขึ้นซึ่งจะยิ่งกดดันเศรษฐกิจ

3.ความแตกต่างระหว่างสหรัฐที่เศรษฐกิจยังขยายตัวได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นโดยเฉพาะยุโรปและจีนที่จะชะลออย่างมีนัยสำคัญ (US and The Rest) โดยที่ผ่านมาเศรษฐกิจสหรัฐเติบโตค่อนข้างแข็งแกร่งจากการปรับขึ้นค่าจ้าง ทำให้การจับจ่ายยังเติบโตดี แต่ในระยะต่อไปการเงินที่มีปัญหามากขึ้นจะกระทบต่อการใช้จ่ายของทั้งประชาชนและภาคธุรกิจ ด้านเศรษฐกิจของยุโรปจะยิ่งเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยจากนโยบายการเงินที่ตึงตัวต่อ ในขณะที่เศรษฐกิจจีนก็มีความเสี่ยงจะซึมยาวและเข้าสู่ “ทศวรรษที่หายไป” เช่นเดียวกับญี่ปุ่นเมื่อช่วงทศวรรษ 1990”

สำหรับเศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงมาก แต่อนาคตมีความหวังจากความชัดเจนทางการเมืองและนโยบายกระตุ้นจากภาครัฐ โดยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะขยายตัวได้ดีกว่าปี 2566 ซึ่งเป็นผลมาจากเสถียรภาพทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลเพื่อไทยจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นได้อีก 1% โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะขยายตัวได้ 4.1% (เทียบกับประมาณการเดิมที่ 3%) จากปี 2566 ที่ขยายตัว 2.7%

ขณะเดียวกันยังคาดว่ากระแสเงินทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้าสู่ตลาดไทยอีกครั้งเมื่อพิจารณาจาก 1.แนวโน้มการเติบโตที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจจีน 2.การเสร็จสิ้นการปรับลดอันดับเครดิต ผลประกอบการ และ GDP 3.นโยบายการเงินที่เริ่มลดระดับความตึงตัวของ Fed และ 4.มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและการท่องเที่ยว โดยความเสี่ยงสำคัญ 2 ประการที่ยากจะมองข้าม ได้แก่  1.ระดับน้ำที่ต่ำและฤดูเก็บเกี่ยวพืชผลสำคัญ การเกิดเอลนีโญระดับรุนแรงจะสร้างความเสียหายต่อผลผลิต ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของเกษตรกรแต่จะถูกผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาช่วยในไตรมาสที่ 1 และ 2.ในกรณีที่รัฐบาลเลือกที่จะกู้เงินเพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาจส่งผลต่อความเข้มแข็งทางการคลัง

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินเป้าหมาย SET Index ปีนี้ อยู่ที่ 1,650 จุด เป้าหมายปี 2567 อยู่ที่ 1,750 จุด ขณะที่ในไตรมาส 4 จุดเข้าซื้อที่สำคัญอยู่ที่ 1,500-1,550 จุด โดยผลตอบแทนที่คาดหวังอยู่ที่ 5-7%

“กลยุทธ์การลงทุน แนะนำโฟกัสไปที่หุ้นที่กำไรมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปหรือทำจุดต่ำสุดแล้ว และสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เน้นหุ้นวัฏจักรที่มีความสัมพันธ์กับการใช้จ่ายอุปโภคบริโภคภายในประเทศสูงซึ่งจะได้รับโมเมนตัมเชิงบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการฟื้นตัวของกำไร โดยหุ้นเด่นในไตรมาส 4 ได้แก่ AOT BCH CRC KCE และ KTB” นายสุกิจ กล่าวเสริม

ทั้งนี้ AOT: Traffic เติบโตแข็งแกร่ง กำไรเติบโตแข็งแกร่ง  BCH: กำไรฟื้นตัว การปรับเพิ่มอัตราการเหมาจ่ายของประกันสังคม มูลค่า สมเหตุสมผล CRC: กำไรฟื้นตัว ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ KCE: แรงกดดันด้านต้นทุนลดลง อุปสงค์ฟื้นตัว การเติมสินค้าคงคลังของจีน กำไรผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และ KTB: กำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

ด้าน นายพสุวุฒิ วิไลนิรันดร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์  เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในไตรมาส 4 ยังคงมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ และยุโรป ปัญหาเศรษฐกิจภายในของจีน เงินเฟ้อระลอกใหม่ รวมถึงดอกเบี้ยโดยรวมของโลกยังอยู่ในระดับสูง การลงทุนจึงยังเป็นลักษณะการลงทุนแบบระมัดระวัง มุ่งเน้นคัดเลือกหุ้นของกิจการที่ดีเป็นรายตัว

นอกจากนี้มีประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วกว่าประเทศไทย เช่น ประเทศเวียดนาม ที่มีประชากรเกือบ 100 ล้านคน ขนาดเศรษฐกิจเล็กกว่าค่อนข้างมาก ส่งผลให้อัตราการเติบโตของจีดีพีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูงถึง 6-7% ต่อปีสูงกว่าประเทศไทยถึง 2 เท่าตัว และประเทศอินโดนีเซีย ด้วยจำนวนประชากรมากกว่า 270 ล้านคน มากเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากจีน อินเดีย และสหรัฐฯ และถึงแม้มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอาเซียน แต่ก็ยังคงเติบโตด้วยอัตรา 5% ต่อปี ซึ่งทั้งสองประเทศได้รับเม็ดเงินจากบริษัทข้ามชาติที่ย้ายฐานผลิตเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยการลงทุนทางตรงในปีที่แล้วของประเทศเวียดนามและอินโดนีเซียนั้นสูงคิดเป็น 2 และ 4 เท่าเมื่อเทียบกับของประเทศไทยตามลำดับ อีกทั้งประชากรของทั้งสองประเทศยังเป็นวัยทำงานมากถึง 50-60% ของจำนวนประชากรทั้งหมด และกลุ่มคนวัยดังกล่าวกำลังย้ายจากภาคการเกษตรเข้ามาในภาคอุตสาหกรรม และอยู่อาศัยในตัวเมืองมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้รายได้ต่อหัวปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้นในอีก 5-10 ปีข้างหน้า

ส่วนอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของประชากรคนชั้นกลาง ได้แก่ กลุ่มสิ่งของอุปโภคและบริโภคต่างๆ เช่น อาหารและเครื่องดื่ม เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ เครื่องประดับ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการซื้อสินค้าจาก ผ่านร้านค้าทั่วไป (Traditional Trade) เป็นร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว และการเข้าถึงสินเชื่อรายย่อยของประชาชนทั่วไปซึ่งในปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำและสามารถขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต

“การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีเลิศมักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่นักลงทุนส่วนใหญ่กลัวกับข่าวสารต่างๆในระดับมหภาคที่เป็นแง่ลบ จนเกิดการขายหุ้นออกมาในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นในระยะยาว เช่น ความกลัวโรคระบาดโควิดในปี 2020 ความกลัวอัตราเงินเฟ้อที่สูงและการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วในปี 2021-2022 และความกลัวภาพเศรษฐกิจถดถอยในปี 2023 ซึ่งส่วนตัวมองว่ากลับเป็นโอกาสลงทุนที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวมากกว่าหากเราสามารถเลือกลงทุนในหุ้นของกิจการได้ถูกตัวและเข้าซื้อในจังหวะที่คนอื่นกำลังกลัวตลาดหุ้น” นายพสุวุฒิ กล่าวเสริม

ด้านตลาดหุ้นวันที่ 25 ก.ย.2566  ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลง -15.23  จุด หรือ-1% ปิดที่ระดับ 1,507.36 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 42,194.46 ล้านบาท  เคลื่อนไหวตามตลาดหุ้นภูมิภาค และต่างประเทศ เช่นเดียวกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานาน จากความเห็นของนางมิเชล โบว์แมน หนึ่งในสมาชิกบอร์ดผู้ว่าการเฟดกล่าวว่า เฟดจำเป็นต้องเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ สอดคล้องกับนางซูซาน คอลลินส์ ประธานเฟดสาขาบอสตัน  และดัชนีดอลลาร์แข็งค่าสู่ระดับ 105.28 ตอบรับความเห็นเจ้าหน้าที่เฟด