TOP กำไร 1,117 ลบ. Q2/66 รายได้ลดลง ขาดทุนสต็อกน้ำมัน

HoonSmart.com>> “ไทยออยล์” (TOP) เปิดงบไตรมาส 2/66 กำไรสุทธิลดลงเหลือ 1,117 ล้านบาท รายได้จากการขาย 108,467 ล้านบาท ตามสภาวะเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว ราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลง ขาดทุนสต็อกน้ำมัน 1,929 ล้านบาท คาดแนวโน้มราคาน้ำมันดิบไตรมาส 3-4 นี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากอุปทานน้ำมันในตลาดคาดตึงตัวครึ่งปีหลัง “ธุรกิจโรงกลั่น” แนวโน้มปรับตัวดีขึ้น

บริษัท ไทยออยล์ (TOP) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2566 มีกำไรสุทธิ 1,117.09 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.50008 บาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 25,326.93 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 12.41586 บาท

ส่วนงวด 6 เดือน ปี 2566 มีกำไรสุทธิ 5,671.22 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 2.53878 บาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 32,509.60 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 15.93586 บาท

บริษัทฯ ชี้แจงผลดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2566 เมื่อเทียบไตรมาส 2 ปี 2565 กลุ่มไทยออยล์มีปริมาณวัตถุดิบที่ป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตของกลุ่มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม มีราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ลดลง ส่งผลให้มีรายได้จากการขายลดลง 35,425 ล้านบาท อยู่ที่ 108,467 และมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันลดลงถึง 19.5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

สาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะส่วนต่างราคาน้ำมันอากาศยาน/น้ำมันก๊าดและน้ำมันดีเซลหลังอุปทานน้ำมันรัสเซียยังคงซื้อขายในตลาดได้อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์สารทำความสะอาดมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ลดลง อย่างไรก็ตาม ส่วนต่างราคายางมะตอยกับน้ำมันเตาปรับตัวสูงขึ้นจากอุปสงค์ในภูมิภาคที่ดีขึ้น อีกทั้ง ส่วนต่างราคาสารพาราไซลีนและเบนซีนกับน้ำมันเบนซิน 95 ปรับเพิ่มขึ้นหลังเศรษฐกิจคลายความกังวลจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน

อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงส่งผลให้มีขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 1,929 ล้านบาท เทียบกับกำไรจากสต๊อกน้ำมัน 7,557 ล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีรายการกลับรายการสินค้าคงเหลือน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปลดลง 244 ล้านบาท จากไตรมาส 2 ปี 2565 เมื่อรวมกับผลกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่เกิดขึ้นจริงสุทธิ (รวมเฉพาะรายการที่เกิดจากการป้องกันความเสี่ยงราคาสินค้าโภคภัณฑ์) ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์มี EBITDA ลดลง 17,704 ล้านบาท จากไตรมาส 2 ปี 2565

ในไตรมาส 2 ปี 2566 กลุ่มไทยออยล์มีผลขาดทุนจากเครื่องมือทางการเงิน ซึ่งขาดทุนลดลง 2,196 ล้านบาทจากไตรมาส 2 ปี 2565 และมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิลดลง 300 ล้านบาท ทั้งนี้ ในไตรมาส 2 ปี 2565 กลุ่มไทยออยล์มีกำไรจากการจัดประเภทเงินลงทุนและจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) จำนวน 17,334 ล้านบาท (ก่อนภาษี) หรือคิดเป็น 12,880 ล้านบาท (หลังภาษี) เมื่อหักค่าเสื่อมราคา ต้นทุนทางการเงิน และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ ส่งผลให้มีกำไรสุทธิลดลง 24,210 ล้านบาทจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ (TOP) เปิดเผยว่า ไตรมาส 2 ปี 2566 กลุ่มไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 1,117 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 1/2566 จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันปิโตรเลียมเทียบกับราคาน้ำมันดิบดูไบ ที่ปรับตัวลดลง หลังจากอุปทานน้ำมันจากประเทศรัสเซียยังคงมีการซื้อขายในตลาดอย่างต่อเนื่อง สำหรับธุรกิจอะโรเมติกส์ ราคาสารพาราไซลีนได้รับแรงสนับสนุนจากอุปสงค์ในช่วงปลายฤดูร้อนของภูมิภาคเอเชีย ในขณะที่ราคาสารเบนซีนปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยดังกล่าวส่งผลดี ทำให้ธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์สารทำความสะอาดที่ใช้สารเบนซีนเป็นวัตถุดิบหลักมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น สำหรับธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานปรับตัวลดลง จากความต้องการใช้ในภูมิภาคที่ลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีน

ราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 2/2566 ปรับตัวลดลง เนื่องจากอุปสงค์มีแนวโน้มชะลอตัว จากความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจถดถอยภายหลังการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางทั่วโลกเพื่อสกัดภาวะเงินเฟ้อ รวมถึงความกังวลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน

นายบัณฑิต กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมธุรกิจกลุ่มไทยออยล์ในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่า มีแนวโน้มจะปรับตัวดีขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากอุปทานน้ำมันที่ตึงตัวขึ้นในช่วงไตรมาส 2/2566 หลังกลุ่มโอเปกพลัสที่นำโดยประเทศซาอุดิอาระเบีย และรัสเซียปรับลดการผลิตน้ำมันดิบอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อุปสงค์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล รวมถึงมีการปิดซ่อมบำรุงกะทันหันของโรงกลั่นหลายแห่งในสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย ส่งผลให้สต็อกน้ำมันทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย แม้ว่าจะมีปัจจัยความเสี่ยงจากสภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว กลุ่มไทยออยล์ได้เฝ้าระวังความผันผวนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น และมีมาตรการติดตาม เพื่อเตรียมพร้อมรับมือและแสวงหาโอกาสในการสร้างรายได้ให้เหมาะสมกับสภาพตลาดอย่างต่อเนื่อง