TU กำไรปกติQ2 โต 8.2%เป็น 1,777 ลบ. แจกปันผลกลางปี 30 สต./หุ้น

HoonSmart.com>>”ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป” (TU)ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว เปิดกำไร 1,028.65 ล้านบาทไตรมาสที่ 2/66   ยอดขาย 3.4 หมื่นล้านบาท โชว์กระแสเงินสดแกร่งที่ 3.3 พันล้านบาท  แผนครึ่งปีหลังเร่งเพิ่มกำไร ลดเป้ารับรู้ขาดทุน Red Lobster ในปีนี้จาก600 ล้านบาทเหลือ 500 ล้านบาท บอร์ดใจดีจัดกำไร 70% จ่ายปันผลระหว่างกาล 0.30 บาท/หุ้น  ขึ้น XD 21 ส.ค.นี้ จ่อขายหุ้นที่ซื้อคืน  116,682,800  หุ้น หรือ 2.45%  วันที่ 15-23 ส.ค.2566

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU)เปิดเผยผลประกอบการงวดไตรมาสที่ 2/2566 มีกำไรสุทธิ 1,028.65 ล้านบาท คิดเป็นกำไรหุ้นละ 0.21 บาท ลดลงประมาณ 36.65% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,623.83 ล้านบาทหรือ 0.33 บาทต่อหุ้น  หากเทียบกับไตรมาสแรกปีนี้ที่มีกำไรสุทธิ 1,022  ล้านบาทเติบโต 0.7% รวม 6 เดือนแรกปีนี้มีกำไรสุทธิ 2,050.22 ล้านบาทหรือ 0.41 บาท เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ 3,369.36 ล้านบาทหรือ 0.69 บาทต่อหุ้น

ในไตรมาสที่ 2/2566 บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานที่ 1,777 ล้านบาท สูงขึ้นจากปีก่อนหน้า 8.2%และมีความสามารถรักษาระดับกระแสเงินสดได้อย่างแข็งแกร่งที่ 3,319 ล้านบาท จากกลยุทธ์ในการบริหารเงินทุนหมุนเวียนสุทธิที่ดีขึ้น โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 16.9%คงที่เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แม้ว่าราคาวัตถุดิบจะมีการปรับตัวสูงขึ้น ขณะเดียวกันมียอดขาย 34,057 ล้านบาท ลดลง 12.6% เมื่อเทียบกับยอดขายที่แข็งแกร่งในปีก่อนหน้า เนื่องจากคู่ค้าทั่วโลกยังมีปริมาณสินค้าคงคลังที่ในระดับสูง ประกอบกับการขนส่งสินค้าปรับตัวสู่สภาวะปกติ ส่งผลให้ความต้องการสินค้าชะลอตัวลง

“กำไรสุทธิลดลง 36.65% ในไตรมาสที่ 2  สาเหตุหลักจากการขาดทุนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและส่วนแบ่งกำไรสุทธิจากบริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น(ITC) ลดลงเป็นผลจากสัดส่วนหุ้นที่ไทยยูเนี่ยนถือครองลดลง”

บริษัทได้ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลที่ 0.30 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 4 ก.ย. 2566 เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 21 ส.ค. 2566 และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 22 ส.ค. 2566

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) กล่าวว่า เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวในหลายๆ ตลาดทั่วโลกในครึ่งหลังของปี 2566 และถึงแม้ว่าบริษัทต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ มากมายในช่วงครึ่งปีแรก งบดุลของไทยยูเนี่ยนยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง ด้วยอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน(D/E) อยู่ที่ระดับ 0.64 เท่า ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 1.0 เท่า ส่งผลให้สามารถจ่ายปันผลได้ คิดเป็นอัตราจ่ายการปันผลสูงถึง 70.3% ของกำไรสุทธิ

ไตรมาส 2 ของทุกปี ยอดขายจะสูงขึ้นเป็นปกติ เนื่องจากเป็นช่วงฤดูร้อน ยอดขายในยุโรปเติบโตได้ดี มีกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ยอดขายประจำไตรมาส 2 สูงขึ้น 4.3%และกำไรสุทธิสูงขึ้น 0.7%จากไตรมาสก่อนหน้าที่บริษัทได้คาดการณ์ว่าเป็นไตรมาสที่อ่อนตัวที่สุด รวมถึงกำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น 16.9%อยู่ที่ 5,748 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยอดขายจากธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปบรรจุกระป๋องอยู่ที่ 17,136 ล้านบาท เติบโตขึ้น 1.3% นับเป็นยอดขายประจำไตรมาสที่สูงที่สุดในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา ผลมาจากราคาขายที่สูงขึ้นและกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ โดยเฉพาะในทวีปยุโรป สินค้าแบรนด์ต่างๆ ภายใต้บริษัทยังคงเดินหน้าสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคในเรื่องสุขภาพอย่างต่อเนื่อง

เรด ล็อบสเตอร์ ธุรกิจร้านอาหารทะเลระดับโลกที่ไทยยูเนี่ยนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ทำผลงานได้ดีขึ้นในไตรมาส 2 หลังจากที่แผนพลิกฟื้นธุรกิจได้ส่งสัญญาณบวก โดยมีส่วนแบ่งขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 94 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 2/2565 อยู่ที่ 281 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯ ปรับเป้าหมายการดำเนินงานปี 2566 ของธุรกิจ Red
Lobster จากส่วนแบ่งขาดทุนจากการดำเนินงาน  600 ล้านบาท เหลือ 500 ล้านบาท  นอกจากนี้  Red Lobster สามารถบรรลุเป้าหมายสถานะทางการเงินได้ ส่งผลให้สัญญาค้ำประกันมูลค่า  65 ล้านเหรียญสหรัฐที่ได้ให้ไว้ในปีที่ผ่านมา  คาดว่าจะถูกยกเลิกได้ภายในเดือนก.ย.2566

“ในช่วงครึ่งปีหลัง ไทยยูเนี่ยนจะเดินหน้าแผนและมาตรการต่างๆ เพื่อเพิ่มระดับความสามารถในการทำกำไร โดยมุ่งบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการดำเนินงาน พร้อมลดต้นทุนในการผลิต เรายังเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถทำผลงานได้ดีในระยะยาว และเมื่อเร็วๆ นี้บริษัทได้ประกาศกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange2030 ที่ตั้งเป้าหมายยาวไปถึงปี 2573 เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในอุตสาหกรรมอาหารทะเลของโลก โดยเรามีการจัดสรรงบประมาณ 7,200 ล้านบาท เพื่อพลิกโฉมอุตสาหกรรมอาหารทะเลเพื่อผู้คนและโลกของเราอีกด้วย” นายธีรพงศ์กล่าวทิ้งท้าย

คณะกรรมการบริษัทฯมีมติอนุมัติให้ขายหุ้นที่ซื้อคืนจำนวน  116,682,800  หุ้น หรือ 2.45% โดยขายออกในตลาดหลักทรัพย์ระหว่างวันที่ 15-23 ส.ค.2566

ด้านราคาหุ้น TU ปรับตัวขึ้นในช่วงบ่าย ซื้อขายที่ระดับ 13.60 บาท บวก 0.30 บาทหรือ +2.26 % ณ เวลา 16.00 น.วันที่ 7 ส.ค.2566