TRUE ขาดทุน 2.3 พันลบ. EBITDA โต 14.7% จากไตรมาสแรก

HoonSmart.com>>”ทรู คอร์ปอเรชั่น”(TRUE) เผยไตรมาส2/66 ขาดทุนสุทธิ 2,319.69 ล้านบาท รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้ (ARPU)-ยอดผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น คุยความสำเร็จจากการผสานพลังควบรวมดีแทคเข้าเป้าและมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพ ส่งผลให้ EBITDA เพิ่มขึ้น 14.7% จากไตรมาสก่อน คาดทั้งปี EBITDA โตตัวเลขหลักเดียวในระดับต่ำ-ปานกลาง คงเป้าเงินลงทุน 25,000 – 30,000 ล้านบาท  

บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) เปิดเผยผลงานไตรมาสที่ 2/2566 ขาดทุนสุทธิ 2,319.69 ล้านบาท เท่ากับขาดทุนหุ้นละ 0.07 บาท รวมครึ่งปีแรกขาดทุนสุทธิ 1,704.21 ล้านบาทหรือ 0.05 บาทต่อหุ้น

นาย มนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า TRUE มีทิศทางผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมาจากการเติบโตของจำนวนผู้ใช้บริการ และการผสานความแข็งแกร่งในการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดของดีแทคและทรู  หลังจากควบรวมกันมา 4 เดือน ยังเป็นไปตามแผนงาน และเริ่มทยอยรับรู้ผลประโยชน์แบบรวดเร็วจากการควบรวม อีกทั้งการพัฒนาของเศรษฐกิจมีทิศทางเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจ ในขณะที่การแข่งขันในตลาดทรงตัวในไตรมาสที่ 2/2566

“ทรูฯยังได้ประโยชน์ในการประหยัดต่อขนาดที่มากขึ้น นำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพของการลงทุนและประหยัดได้ประมาณ 3 ,000 ล้านบาทภายหลังจากการควบรวมกิจการ ลูกค้าของแบรนด์ดีแทค และทรูได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้นจากกลุ่มผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย ซึ่งนำไปสู่การเติบโตของการขายสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวเนื่องในแต่ละเดือน โดยในไตรมาสที่ 2/2566 มียอดผู้ใช้งานมากกว่า 29 ล้านรายได้รับประโยชน์จากความหลากหลายของคลื่นความถี่ เครือข่ายที่กว้างขึ้น และได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นจากการใช้บริการข้ามโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายในประเทศ ทำให้ผู้ใช้แบรนด์ดีแทคได้ใช้บริการ 5G เร็วขึ้น 2.3 เท่า และมีการใช้งาน 5G สูงขึ้น 12%”

นายชารัด เมห์โรทรา รองประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น  กล่าวว่า ดีแทคและทรูเป็นแบรนด์ผู้ให้บริการมือถือที่แข็งแกร่ง โดยยังคงเป็นผู้นำในการให้บริการซิมสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวและแรงงานต่างด้าว ยอดการทำธุรกรรมภายใต้โปรแกรมสิทธิพิเศษเพิ่มขึ้น 17% เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ส่งผลให้การรักษาลูกค้ากลุ่มที่ใช้บริการแพ็คเกจที่มีอัตราค่าบริการในระดับสูง (high-tier) เพิ่มขึ้น 9% เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา โดยไตรมาส 2/2566 ทรู คอร์ปอเรชั่นมีฐานผู้ใช้งานดิจิทัลสูงถึงประมาณ 14 ล้านราย

ขณะที่มีผู้ใช้บริการมือถือเพิ่มขึ้น 659,000 หมายเลข ทำให้มียอดลูกค้ารวมทั้งสิ้น 51.1 ล้านหมายเลข เพิ่มขึ้น 1.3% จากไตรมาสที่ผ่านมา ผู้ใช้งาน 5G มีจำนวนถึง 8.3 ล้านคน เพิ่มขึ้น 32% จากไตรมาสที่ 1 โดยมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในด้านการใช้งานและการเพิ่มขึ้นของ ARPU 10-15% สาเหตุหลักมาจากการจำหน่ายอุปกรณ์สื่อสารพร้อมบริการ โดยสิ้นไตรมาส 2/2566 การให้บริการ 4G ครอบคลุม 99% ของประชากร และ 5G ครอบคลุม 90% ของประชากร ตามลำดับ

สถานการณ์ทางเศรษฐกิจดีขึ้น การแข่งขันในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมยังคงทรงตัวในไตรมาสที่ 2 โดยมีการลดลงของการให้ส่วนลดและการเพิ่มคุณค่าสินค้าและการบริการให้แก่ลูกค้าที่เป็นประโยชน์และสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของลูกค้า ทรูฯจะยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ โดยการผสานความแข็งแกร่งในการดำเนินกิจกรรมทางการตลาด การดำเนินการตามแผนการควบรวม และการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม เพื่อส่งมอบคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของเรา

นายนกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น  กล่าวว่า  ไตรมาส 2/2566 มีทิศทางดีขึ้นโดยได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง และรายได้จากการให้บริการที่เพิ่มขึ้น พร้อมประโยชน์จากการลดค่าใช้จ่ายตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพและการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว ส่งผลดีต่อการเพิ่มจำนวนฐานลูกค้าระบบเติมเงิน  ตอกย้ำความแข็งแกร่งของแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ากลุ่มนักท่องเที่ยวและแรงงานต่างด้าวมากที่สุดในประเทศ นอกจากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงและอัตราค่าไฟฟ้าที่ลดลงแล้ว ทรู ฯยังคงมุ่งเน้นที่การเติบโตอย่างมีกำไร ซึ่งนำไปสู่ EBITDA ที่สูงขึ้นและอัตรากำไรที่ดีในไตรมาสนี้

การเติบโตของรายได้จากการให้บริการธุรกิจมือถือและบรอดแบนด์ส่งผลให้มีการเติบโตของรายได้จากการให้บริการรวมเพิ่มขึ้น 1.1% เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา (QoQ) โดยรายได้จากบริการมือถือเพิ่มขึ้น 0.8%  รายได้จากบริการบรอดแบนด์เพิ่มขึ้น 3.2%  รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ลดลง 28.5% เนื่องจากยอดขายที่ลดลงตามฤดูกาล ส่งผลให้รายได้รวมลดลง 4.6% (QoQ)

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ทั้งหมด ไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (D&A) ลดลง 16.7% เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา (QoQ)   EBITDA จำนวน 22,320 ล้านบาท ดีขึ้น 14.7%  อัตรากำไร EBITDA อยู่ที่ 45.4% ส่วนผลขาดทุนสุทธิ  2,320 ล้านบาท ซึ่งได้รับผลกระทบจากผลกระทบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (one-time effect) จากการกลับรายการสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีของผลขาดทุนยกมาของ บริษัท ดีแทค ไตรเน็ต  หรือ DTN เนื่องจากความเป็นไปได้ในการปรับโครงสร้างธุรกิจภายใต้กลุ่มบริษัท และค่าใช้จ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์จากการควบรวม (Integration cost) จำนวนประมาณ 250 ล้านบาท โดยขาดทุนสุทธิยังได้รับผลกระทบจากค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่สูงขึ้นจากการขยายโครงข่าย CAPEX จำนวน 3,435 ล้านบาท ได้รับประโยชน์จากประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นภายหลังจากการควบรวม

ทรูฯได้ปรับปรุงแนวโน้มสำหรับปี 2566 ซึ่งคิดเป็นระยะเวลา 10 เดือนของการดำเนินงานนับจากวันที่ควบรวมกิจการเสร็จสิ้น คาดว่า EBITDA จะมีการเติบโตที่เป็นตัวเลขหลักเดียวในระดับต่ำ-ปานกลาง (low-to-mid single digit) ในขณะที่ยังคงแนวโน้มที่ทรงตัวสำหรับรายได้จากการให้บริการไม่รวมรายได้ค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) ทั้งนี้ เงินลงทุน หรือ CAPEX ประมาณการณ์ไว้ที่ 25,000 – 30,000 ล้านบาท ตามที่เคยประกาศไว้