BBLรวยเละ กำไรทะลุ1.1 หมื่นลบ.พุ่งขึ้น 62% Q2/66

HoonSmart.com>>สุดยอด!ธนาคารกรุงเทพ (BBL)โกยกำไร 11,293.5 ล้านบาทไตรมาส 2/66  ทะยานขึ้น 62% จากช่วงเดียวกันปีก่อนและเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสแรก  11% รวม 6 เดือนแรก กำไรสุทธิ 21,422.8 ล้านบาท เติบโต 52% มาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น  36% ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมทรงตัว  ยึดหลักระมัดระวังและรอบคอบตั้งสำรองหนี้ใกล้เคียงไตรมาสแรก รวมครึ่งปีแรกจำนวน 17,354 ล้านบาท

ธนาคารกรุงเทพ (BBL) รายงานผลประกอบการงวดไตรมาสที่ 2/2566 มีกำไรสุทธิ 11,293.5 ล้านบาท เท่ากับกำไรหุ้นละ 5.92 บาท เพิ่มขึ้น 4332.4 ล้านบาท เติบโตถึง 62.24% จากระยะเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 6,961.1 ล้านบาทหรือ 3.65 บาทต่อหุ้น และเพิ่มขึ้นจำนวน 1,164.2 ล้านบาทคิดเป็น 11.49% เทียบกับไตรมาส1/2566 ที่มีกำไรสุทธิ 10,129.3 ล้านบาทหรือ 5.31 บาทต่อหุ้น

ส่วนผลงานรวมครึ่งปี 2566 มีกำไรสุทธิ 21,422.8 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 11.22 บาท เพิ่มขึ้นจำนวน 7,343.7 ล้านบาท เติบโตถึง 52.16% เทียบกับกำไรสุทธิ 14,079.1 ล้านบาทหรือ 7.38 บาทต่อหุ้นในช่วงเดียวกันปีก่อน

กำไรที่ดีขึ้นในไตรมาส 2/2566 เกิดจากเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ได้แรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากภาคการท่องเที่ยว ทำให้ความเชื่อมั่นและการบริโภคภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น ขณะเดียวกันการส่งออกยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากอุปสงค์ทั่วโลกที่อ่อนตัวลง ทำให้เศรษฐกิจไทยยังคงต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนในระบบเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะจากประเทศเศรษฐกิจหลักที่มีเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องและมีความเสี่ยงที่ภาวะเศรษฐกิจจะซบเซาลงและถดถอย รวมทั้งจากความผันผวนในตลาดการเงินโลก และจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป

แม้ว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในทิศทางขยายตัวต่อเนื่อง แต่เศรษฐกิจโลกยังคงมีความไม่แน่นอนจากความผันผวนของตลาดการเงิน รวมถึงความเปลี่ยนแปลงของบริบทโลกใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล ดังนั้นการดำเนินกิจการของภาคธุรกิจ จึงยังคงเผชิญความท้าทายทั้งจากการแข่งขันในรูปแบบใหม่และยังมีโอกาสจากตลาดที่กว้างขึ้น จากการเปลี่ยนแปลงในด้านดิจิทัลเทคโนโลยีนวัตกรรมแห่งโลกอนาคต ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนอย่างก้าวกระโดดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รวมถึงการปรับตัวเพื่อสนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ตลอดจนการปรับเปลี่ยนด้านตลาดการเงินที่ปรับตัวสูงขึ้น ธนาคารตระหนักถึงความท้าทายในการดำเนินธุรกิจของลูกค้า จึงยังคงมุ่งเน้นการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิดให้คำแนะนำในการปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจตามสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง พร้อมทั้งเพิ่มโอกาส
ในการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ

ส่วนกำไรในครึ่งปีแรกเติบโต 52% เป็นจำนวน 21,423 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น  36% สอดคล้องกับภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น จากอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นสุทธิกับการเพิ่มขึ้นของต้นทุนเงินรับฝากและการปรับอัตราเงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเข้าสู่ระดับเดิมตั้งแต่ต้นปี 2566 ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 2.88% ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิอยู่ในระดับใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีก่อน

สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 18.3% ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น และส่วนหนึ่งจากค่าใช้จ่ายเพื่อการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานอยู่ในระดับที่ลดลงเป็น 47.1% ทั้งนี้ จากการที่ธนาคารมีการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง จึงมีการตั้งสำรองในไตรมาส 2/2566 อยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน ทำให้สำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในงวดแรกปี 2566 มีจำนวน 17,354 ล้านบาท

ธนาคารกรุงเทพยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ พร้อมทั้งรักษาเสถียรภาพฐานะการเงิน สภาพคล่อง และเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ณ สิ้นเดือนมิ.ย. 2566 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,698,304 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  0.6% จากสิ้นปีก่อน ส่วนใหญ่จากสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่และสินเชื่อลูกค้ากิจการต่างประเทศ สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวมยังคงอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้อยู่ที่ 2.9%  และจากการยึดหลักการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังและรอบคอบอย่างต่อเนื่อง ทำให้อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่  287.1%

ธนาคารมีเงินรับฝากจำนวน 3,200,155 ล้านบาท อยู่ในระดับใกล้เคียงกับสิ้นปีก่อน และมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่  84.3% ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยอยู่ที่  19.1%  15.7% และ 14.9 % ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด